วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563

Jurassic World: Fallen Kingdom

หนัง HD

รีวิว Jurassic World: Fallen Kingdom - จูราสสิค เวิลด์: อาณาจักรล่มสลาย

Jurassic World: Fallen Kingdom หรือภาคต่อในชุดไตรภาคใหม่ฉบับรีแบรนด์ของ Jurassic Park (1993) ที่กลับมาครั้งนี้ได้เปลี่ยนผู้นำวิสัยทัศน์มาเป็นผู้กำกับสายเอฟเฟกต์ดราม่าอย่าง เจ.เอ. บาโยนา ที่เคยมีผลงานชั้นดีอย่าง The Impossible (2012) หนังซึนามิที่มาถ่ายในไทย และล่าสุดกับ A Monster Calls (2016) ที่เคยทำหัวใจใครหลายคนสลายมาแล้ว ตรงนี้ก็ถือว่าเชื่อชั้นฝีมือได้ว่าหนังไม่ออกอ่าวตังเกี๋ยแน่นอน ส่วนผู้กำกับคนเก่งจากภาคแรก Jurassic World (2015) อย่าง คอลิน เทรโวร์โรว์ ก็ไปทำหน้าที่เขียนบทร่วมกับหนึ่งในทีมเขียนบทของภาคแรกอย่าง เดเรก คอนนอลลี่ แทน โดยได้พ่อมดต้นตำหรับอย่าง สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก มานั่งอำนวยการสร้างเช่นเคย รีวิว Jurassic World: Fallen Kingdom

เรื่องย่อ

เรื่องราวเกี่ยวกับ Claire Dearing นางเอกสาวส้นสูงของเราผู้เป็นคนก่อตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาที่ชื่อว่า “Dinosaur Protection Group” หรือแปลได้ว่า “กลุ่มผู้คุ้มครองพิทักษ์ไดโนเสาร์” ที่ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีการปรากฏตัวของตัวละครหน้าใหม่ที่รับบทโดย Daniella Pineda และ Justice Smith ภารกิจของพวกเขาต้องยากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาต้องหาทางอพยพเหล่าไดโนเสาร์ออกจากเกาะ หลังจากการตื่นขึ้นของภูเขาไฟยักษ์ ที่จะคร่าชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนเกาะและทำให้เกาะแห่งนี้ลุกเป็นไฟ เธอจึงจำต้องกลับไปขอความช่วยเหลือจากคนรักเก่าของเธออย่าง Owen Grady พระเอกสุดเท่ผู้คุยกับไดโนเสาร์รู้เรื่องให้กลับมาช่วยเธออีกครั้งหนึ่ง Jurassic World: Fallen Kingdom กำกับโดย J.A. Bayona นำแสดงโดย Chris Pratt, Bryce Dallas Howard, James Cromwell, Ted Levine, Geraldine Chaplin, Toby Jones, Rafe Spall ร่วมกับนักแสดงรับเชิญอย่าง BD Wong และ Jeff Goldblum

Jurassic World: Fallen Kingdom หรือภาคต่อในชุดไตรภาคใหม่ฉบับรีแบรนด์ของ Jurassic Park (1993) ที่กลับมาครั้งนี้ได้เปลี่ยนผู้นำวิสัยทัศน์มาเป็นผู้กำกับสายเอฟเฟกต์ดราม่าอย่าง เจ.เอ. บาโยนา ที่เคยมีผลงานชั้นดีอย่าง The Impossible (2012) หนังซึนามิที่มาถ่ายในไทย
และล่าสุดกับ A Monster Calls (2016) ที่เคยทำหัวใจใครหลายคนสลายมาแล้ว ตรงนี้ก็ถือว่าเชื่อชั้นฝีมือได้ว่าหนังไม่ออกอ่าวตังเกี๋ยแน่นอน ส่วนผู้กำกับคนเก่งจากภาคแรก Jurassic World (2015) อย่าง คอลิน เทรโวร์โรว์ ก็ไปทำหน้าที่เขียนบทร่วมกับหนึ่งในทีมเขียนบทของภาคแรกอย่าง เดเรก คอนนอลลี่ แทน โดยได้พ่อมดต้นตำหรับอย่าง สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก มานั่งอำนวยการสร้างเช่นเคย

สิ่งที่แตกต่างอีกอย่างสำหรับภาคนี้คงเป็นการสูงสุดคืนสู่สามัญ เมื่อทีมสร้างวางวิสัยทัศน์ในการใช้ แอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) หรือเทคนิคหุ่นกลไกเสมือนจริง เข้ามาใช้ในการถ่ายทำแบบครึ่ง ๆ กับเทคนิคกราฟิกคอมพิวเตอร์ CGI เหมือนสมัยที่ Jurassic Park ภาคแรกเคยทำไว้ก่อนจะโดน CGI กลืนกินเกลี้ยงในภาคหลัง ๆ

ตรงนี้ก็ทำให้ได้งานภาพระยะใกล้ที่มีเสน่ห์สมจริงแบบไม่หลอกตาผู้ชมเลยทีเดียว และอีกหนึ่งเทคนิคที่ทำครั้งแรกในแฟรนไชส์นี้ก็คือการถ่ายภาพด้วยอัตราส่วนจอกว้างกว่าเดิมอย่าง 2.39:1 ซึ่งมากสุดที่หนังจูราสสิกเคยถ่ายมา ด้วยเหตุผลว่ามันจะสามารถรองรับภาพไดโนเสาร์จำนวนมาก ที่ภาคนี้โอ่ไว้ว่าจะมีไดโนเสาร์มากที่สุดด้วย คือทีมสร้างคิดงานมาละเอียดดีเลยล่ะ

จุดที่น่าชม

ต้องเล่าย้อนว่าส่วนตัวไม่ค่อยชื่นชมไตรภาคใหม่นี้ ตั้งแต่ Jurassic World แล้วนะ เพราะมันคือการก๊อปแล้วพัฒนาจาก Jurassic Park มามากเกินไป ความรู้สึกเหมือนที่ Star Wars: Episode VII – The Force Awakens (2015) ก๊อปการเดินเรื่องมาจาก Star Wars: Episode IV – A New Hope (1977) นั่นล่ะ ไม่รู้เป็นเทรนด์หนังรีแบรนด์ในปี 2015 หรือเปล่านะเนี่ย

คือมันดีในแง่ความแข็งแรงของโครงเรื่องที่พิสูจน์ผลมาแล้วและมนต์เสน่ห์แบบนอสตัลเกียล่ะ แต่มองในแง่ความสร้างสรรค์สดใหม่มันกลายเป็นกระทืบเท้าอยู่กับที่ แค่กระทืบแรงขึ้นเท่านั้นเอง คือต้องเข้าใจนะว่าค่ายหนังกำลังรีแบรนด์ของเก่าเพื่อเอามาขายเด็กรุ่นใหม่ มันเลยจะทำงานมากกับคนที่ไม่เคยดูหนังไตรภาคเดิมมาก่อน

ถึงกระนั้นเมื่อเทียบกับหนังภาคเก่า ๆ ทั้งหมด หนังภาคนี้ถือว่าดูสนุกสุดเป็นรองแค่ Jurassic Park ของสปีลเบิร์กเท่านั้นเอง
และกับประเด็น Fallen Kingdom อิงโครงงานเก่า มันก็อาจไม่ใช่ข้อหาที่เกินเลย ถ้าจะมองมันเทียบกับภาคต่อ Jurassic Park อย่าง The Lost World: Jurassic Park (1997) ที่ทะลึ่งเนื้อหาไปคล้ายกันเข้าอีก ทั้งการที่สวนสนุกถูกทิ้งรกร้าง เหล่านักวิทยาศาสตร์และทหารต้องการกลับเข้าไปจับไดโนเสาร์มา

แต่ฝ่ายหนึ่งเล่นไม่ซื่อต้องการจับกลับไปเพื่อผลประโยชน์ จนหนังครึ่งหลังกลายเป็นหนังไดโนเสาร์ถล่มเมืองไปเสียฉิบ มองแบบนี้ Fallen Kingdom เพิ่มแค่ภูเขาไฟระเบิดมาในครึ่งแรกเท่านั้นเอง ยิ่งการหนัง HDที่มีดารานำจาก The Lost World อย่าง เจฟ โกลด์บลัม มารับเชิญในบทเดิม ดร.ไอแอน มัลคอล์ม อีก ยิ่งตอกย้ำภาพพงานก๊อปแบบคารวะงานเดิมเข้าไปใหญ่ คำถามคือแล้วที่เหลือมันเพียงพอให้หนังมันน่าจดจำไหม?

รีวิว Jurassic World: Fallen Kingdom


นี่คือหนังตามสูตรสำเร็จแบบไม่อายใคร ที่จะบอกเลยว่าจะเล่าแบบนี้ ๆ ๆ แบบที่คุณ ๆ คุ้นเคยนั่นล่ะ บางฉากคุณน่าจะเดาได้ล่ะ แต่ผมไม่สนใจไง ตราบใดที่มันทำให้คุณบันเทิง คุณสนุก คุณลุ้นจิกเบาะ คุณตื่นเต้นหัวใจพองโต นี่คือหนังบันเทิงแบบนั้นล่ะ แบบที่เด็กรุ่นใหม่ไปดูต้องกรี๊ดต้องบอกต่อให้คนอื่นไปดู หนังประสบความสำเร็จดีมากครับ หนังสนุกของจริงเลยทั้งแอ็กชัน ทั้งขำแบบพอดีไม่ทำลายบรรยากาศ การแสดงที่ไม่เว่อจนผู้ชมไม่อิน เอฟเฟกต์สุดเร้าใจ ความสยองขวัญกดดัน ความซาบซึ้งตรึงใจ ดราม่า คือมีครบรสจริง

คุณภาพงานสร้างเทคนิคโน่นนี่นั่น การแสดง บลา ๆๆ ให้ 8/10 ครับ ส่วนใหญ่มาจากเทคนิคแอนิเมทรอนิกส์กับการแสดงที่ลื่นไหลฮาพอดี ๆ รวมถึงความไฉไลของหนูเมซี่ (ว่าที่นางเอกภาคต่อ ๆ ไป) ในเรื่องด้วย เพราะตัวซีจีนั้นพูดแบบไม่เกรงใจคือ การประสมรวมกันกับคนและฉากยังไม่เนียน การให้ดูหนังผ่านเน็ตแสงโมเดลไดโนเสาร์ลอยจากฉากเยอะโดยเฉพาะช่วงภูเขาไประเบิด

จุดเสีย

ส่วนที่เสียไปของหนังอีกอย่าง คือการที่หนังต้องสนุกเมามันมีความระทึกตลอดทุก ๆ หน่วยวินาที จนถึงหน่วยนาที จนต้องยอมละเลยความสมเหตุสมผลของการกระทำหลายอย่าง (บางครั้งเราด่าตัวละครว่าไอ้โง่ได้เต็มปากด้วย) ความบังเอิญ ความซวย ความโชคดี แบบไม่อิงที่มาที่ไป เพราะหนังจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับการเชื่อมความสมจริงพวกนั้นอีกแล้ว

ตรงนี้เลยพูดว่าหนังดีได้ไม่เต็มปาก เป็นหนังสนุกแต่ไม่ใช่หนังดี ยกตัวอย่างฉากหนึ่งที่มีตัวละครหนีเข้าลิฟต์ทัน เจ้าแรปเตอร์ที่ตัดใจก็หันหลังแล้วหางบังเอิญไปฟาดปุ่มเรียกลิฟต์พังจนประตูลิฟต์เปิด ถ้าเป็นหนังที่คิดมาดี แรปเตอร์อาจมองหารอบๆลิฟต์ว่าจะเข้าไปได้ไง สนใจแสงของปุ่มเรียกลิฟต์ด้วยความฉลาดของมัน คือหนังดีจะยอมเสียเวลาเพิ่ม 1 ช็อตที่อาจเติมเต็มใจไม่ให้คนดู ดูไปสงสัยไปจนไม่อิน ซึ่งไม่ใช่กับเรื่องนี้แน่ ๆ เพราะเขาเลือกความบังเอิญที่สนุกและเข้าใจง่ายสำหรับเด็กมากกว่า

อีกส่วนที่เสียดายมากคือ การที่ บาโยนา ผู้กำกับพยายามขับเน้นแง่มุมปรัชญาและดราม่าความขัดแย้งทางศีลธรรม แต่มันกลืนกลายมลายหายสิ้นไปโดยความเป็นหนังครอบครัวนั่นเอง เรารู้สึกตลอดว่าหนังมันกำลังจะไปถึงแบบตระกูล Rise of the Planet of the Apes (2011) อยู่แล้วนะ

แต่มันไปไม่ได้และไม่ยอมไปเพราะพลอตวิธีการเล่ามันคือหนังเด็กนั่นล่ะ น่าเสียดายที่คำพูดคม ๆ ฉากดราม่า ๆ มันไม่ถูกนำมาใช้สมศักยภาพของมัน แต่ก็เชื่อว่าถึงมันจะเป็นหนังที่ดูจบ ๆ ไปไม่มีอะไรจดจำ แต่มันจะทำเงินมหาศาล และเป็นกระแสปากต่อปากในช่วงอายุการฉายของมันแน่ ๆ ครับ

สรุป

Jurassic World: Fallen Kingdom เป็นภาคต่อที่ไม่ได้ถึงขั้นแย่ พอดูได้เพลินๆ ยิ่งคุณเป็นแฟนจูราสสิคยังไงก็ต้องไม่พลาดชมอยู่แล้ว แต่ไม่อยากให้คาดหวังมากมายนัก เน้นดูเพื่อความบันเทิง แต่จริงๆ แล้วก็แอบเสียดายค่อนข้างมากที่รู้สึกว่าหนังอาจจะทำได้ดีกว่านี้มาก แต่ก็ต้องรอติดตามกันต่อไป อาจจะปิดไตรภาคได้อย่างสวยงามก็เป็นได้

Hereditary

หนัง HD

รีวิว Hereditary - กรรมพันธุ์นรก

ปีที่แล้วเรามี จอร์แดน พีล อดีตดาราและผู้กำกับสายคอมมีดี้ ที่เปลี่ยนแนวมากำกับหนังสยองขวัญ “Get Out” กลายเป็นหนังม้ามืดที่ฮิตถล่มทลาย ทั้งทำเงินและตัวหนังก็ได้เสียงตอบรับดี ไปได้ไกลถึงขั้นเข้าชิงออสการสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม มาถึงปีนี้ก็ถึงคราวของ อารี แอสเตอร์ ผู้กำกับหน้าใหม่ที่เหมารวมหน้าที่กำกับและเขียนบทหนังเรื่องแรกของเขา “Hereditary”  ได้เสียงฮือฮาตั้งแต่ต้นปี หลังไปเปิดตัวในเทศกาลซันแดนซ์ ทุกเสียงต่างก็ชื่นชมว่า “นี่คือหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุด” สำหรับปีนี้แล้ว แล้วยังพาให้ โทนี่ คอลเล็ตต์ ดาราสาว รุ่นใหญ่ ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งกับฝีมือการแสดงที่โดดเด่นในเรื่องนี้ รีวิว Hereditary

เรื่องย่อ

เรื่องราวของครอบครัว Graham ที่หลังจากสูญเสียปูชนียบุคคลในครอบครัวไป ลูกหลานในครอบครัวนี้ก็เริ่มจะเจอสิ่งลึกลับและน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เริ่มที่จะรู้เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับต้นตระกูลบรรพบุรุษของพวกเขา ทุกๆต้นตระกูล...ล้วนมีความลับ เตรียมพิสูจน์ความหลอนด้วยตาของคุณเอง

ปีที่แล้วเรามี จอร์แดน พีล อดีตดาราและผู้กำกับสายคอมมีดี้ ที่เปลี่ยนแนวมากำกับหนังสยองขวัญ “Get Out” กลายเป็นหนังม้ามืดที่ฮิตถล่มทลาย ทั้งทำเงินและตัวหนังก็ได้เสียงตอบรับดี ไปได้ไกลถึงขั้นเข้าชิงออสการสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม มาถึงปีนี้ก็ถึงคราวของ อารี แอสเตอร์ ผู้กำกับหน้าใหม่ที่เหมารวมหน้าที่กำกับและเขียนบทหนังเรื่องแรกของเขา

“Hereditary”  ได้เสียงฮือฮาตั้งแต่ต้นปี หลังไปเปิดตัวในเทศกาลซันแดนซ์ ทุกเสียงต่างก็ชื่นชมว่า “นี่คือหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุด” สำหรับปีนี้แล้ว แล้วยังพาให้ โทนี่ คอลเล็ตต์ ดาราสาว รุ่นใหญ่ ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งกับฝีมือการแสดงที่โดดเด่นในเรื่องนี้

หนังไม่รีรอที่จะปูบรรยากาศสยองขวัญแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนอย่างเรื่องอื่น แต่ Hereditary เลือกที่จะปล่อยบรรยากาศลี้ลับเอาตั้งแต่นาทีแรกของหนังเลย ทั้งดนตรีประกอบ ทั้งการเคลื่อนกล้องช้า ๆ ให้คนดูพร้อมรับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้าถัดจากนี้ไปกันแต่โดยดี

หนังเปิดเรื่องด้วยฉากงานศพของเอลเลน คุณยายของครอบครัวเกรแฮม ทิ้งความโศกเศร้าไว้กับลูกหลาน ที่ประกอบไปด้วยแอนนี่ ลูกสาวของเธอ และ สตีฟ สามี ที่มี ปีเตอร์ ลูกชายวัยรุ่น และชาร์ลี น้องสาววัย 13 ที่มีสภาพทางจิตไม่ค่อยปกตินัก หลังงานศพ ทั้งครอบครัวก็เริ่มสัมผัสเหตุการณ์ประหลาด ทั้งการมาปรากฏตัวของคุณยายให้หลาน ๆ เห็น

แอนนี่ที่กลับมาละเมอเดินอีกครั้งหลังจากหายไปนาน ทำให้แอนนี่สืบหาสาเหตุด้วยการค้นข้าวของเก่า ๆ ของแม่และก็เจอความลับอันน่ากลัวที่แม่ไม่เคยแพร่งพรายให้เธอรู้ แต่มันก็ผ่านเลยจุดที่แอนนี่จะแก้ไขได้ทัน เพราะสิ่งชั่วร้ายได้เข้ามาคุกคามครอบครัวของเธอแล้ว ต้องเน้นย้ำว่า “ความลับของยาย” นี่คือหัวใจหลักของหนัง ใครสปอยล์ตรงนี้โกรธกันไปเลย ตัวผู้เขียนพลาดมากที่ได้ไปอ่าน Wikipedia ของหนัง แล้วพลอตในวิกิก็สปอยล์เสียเหี้ยนเลย ตอนที่ได้ดูก็เลยขาดอรรถรสที่จะได้ร่วมลุ้นความลับตรงนี้ไปพอควรเลยล่ะ

ความยาว 2 ชั่วโมงของหนังผ่านไปอย่างตึงเครียดสุด ๆ ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงไล่จาก 0 ไปถึง 100 อารี แอสเตอร์ สามารถถ่ายทอดสภาวะความตึงเครียดของครอบครัวเกรแฮมมาถึงคนดูได้อย่างสมบูรณ์ บรรยากาศในโรงหนักอึ้ง อัดแน่นไปด้วยบรรยากาศหม่น ๆ หนัก ๆ ทั้งดนตรีประกอบที่แปลกหู ทั้งภาพที่สลัวทั้งเรื่อง

และสำคัญสุดคือฝีมือการแสดงของดารานำทั้ง 4 คน โดยเฉพาะโทนี่ คอลเล็ตต์ ที่รับภาระศูนย์กลางของเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม แอนนี่ไม่ใช่แม่ที่ทำหน้าที่แม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็พยายามพาครอบครัวให้ผ่านพ้นสภาวะวิกฤตนี้ แต่ยิ่งแก้ก็เหมือนจะยิ่งพาไปสู่จุดดำดิ่งมากขึ้น บวกกับอาชีพสร้างบ้านจำลองของเธอ ที่ผลงานของเธอดูเป็นบ้านตุ๊กตาของครอบครัวแสนสุข แต่ในสภาวะจริงเธอไม่สามารถควบคุมจัดการครอบครัวให้เป็นสุขได้เหมือนอย่างบ้านจำลองในอาชีพเธอ

หนังแสดงให้เห็นระดับความตึงเครียดของแอนนี่ผ่านงานของเธอที่เริ่มหลุดโลกออกไปทุกที และถึงจุดระเบิดบนโต๊ะอาหารเย็น เป็นฉากดราม่าที่ยาวและเห็นถึงพลังการแสดงของโทนี่ คอลเล็ตต์ และ อเล็กซ์ วูลฟ์ ที่ปล่อยฝีมือมาประชันกันได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้ต้องย้อนไปชื่นชมอารี แอสเตอร์ ผู้กำกับอีกครั้งที่ไม่ได้มีฝืมือแค่การสร้างบรรยากาศสยองขวัญ แต่ยังคุมฉากดราม่าแรง ๆ ได้อีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่านี่คือผลงานของผู้กำกับมือใหม่

มิลลี่ แชปปิโร ดาราเด็กในบทชาร์ลี แม้จะมีบทบาทไม่มากแต่บทของเธอก็ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักตัวหนึ่งของเรื่อง มิลลี่มีใบหน้าที่แปลกดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาก แม้อยู่เฉย ๆ ก็ดูลึกลับ คาดเดาความคิดของเธอไม่ถูก

อีกองค์ประกอบสำคัญของเรื่องก็คือ “บ้าน”ของครอบครัวเกรแฮม ที่มีผลให้ Hereditary เป็นหนังน่ากลัวขึ้นมาก เป็นบ้านหลังใหญ่มากตั้งอยู่เอกเทศกลางป่า ข้างบ้านมีบ้านต้นไม้หลังใหญ่สร้างไว้ให้ชาร์ลี ในบ้านมีทางเดินแคบ ๆ และที่สำคัญเป็นบ้านที่แสงสลัวแม้แต่ช่วงกลางวันก็ยังดูเหมือนเป็นกลางคืนตลอดเวลา ซึ่งเหมาะมากกับบรรยากาศหนังสยองขวัญแบบนี้ เหตุการณ์ร้ายตลอดทั้งเรื่องต่างเกิดขึ้นแทบทุกห้องในบ้านหลังนี้

Hereditary จัดเป็นหนังสยองขวัญที่ให้อารมณ์แตกต่างจากที่คุ้นเคยกัน ไม่มีผี ไม่มีฉากแหวะ ไม่มีฉากตุ้งแช่ ฉากลุ้นสยองมาไม่ถี่นัก แต่ทุกครั้งที่มาจัดหนักและได้ผล อยากให้สัมผัสประสบการณ์เสียง “เต๊าะปาก” ที่ผวากันทั้งโรงครับ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการเล่นน้อยได้มาก ที่ผู้กำกับอารี แอสเตอร์ทำได้สำเร็จ

หนังไม่เดินเรื่องตามสูตรสำเร็จ คาดเดาทิศทางหนังไม่ได้ อารมณ์หนังทวีขึ้นตามคลามลับของคุณยายเอลเลนที่ค่อย ๆ คลี่คลายออกมา และไปพีคสุดในไคลแมกซ์สุดท้าย ที่ต้องยกให้เป็นฉากที่ลุ้นสุดในประวัติศาสตร์หนังสยองขวัญกันเลยทีเดียว เป็นหนังอีกเรื่องที่ตัวอย่างหนัง “ไม่ดึงดูด” นัก แต่บอกได้เลยว่าแม้ในตัวอย่างเผยฉากใหญ่ ๆ ออกมาหลายฉาก แต่เทียบไม่ได้กับการได้สัมผัสหนังจริง น่ากลัวกว่าตัวอย่างหนังหลายเท่านัก

วิจารณ์

เริ่มเรื่องมา หนังก็เล่าเรื่องของการจากไปของคุณยายแทบจะในทันที ตามมาด้วยฉากหลอนๆ และเรื่องราวแปลกๆ ชวนให้สงสัยยิ่งว่าทั้งหมดที่เห็นอยู่นี่มันคืออะไร

ความเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเร็วมากกับครอบครัวๆ นี้ แรกๆ เราก็คิดว่ามันต้องออกมาแนวนี้แน่ๆ เลย ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไป เอ้า มันกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องบอกว่า การไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับพล็อตโดยรวมของเรื่องนี้เลย รู้แค่เรื่องย่อที่เขียนให้ข้างต้น

สิ่งที่หนังคือ การให้ข้อมูลที่ไม่ครบ ไม่ครบอะไรสักอย่าง จนหนัง HDการปะติดปะต่อทำได้ยาก และคิดไปหลายทาง แต่ก็พบว่าหลงไปทางอื่นได้ง่ายมาก แม้หนังจะเริ่มเฉลยช่วงกลางเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ ยังมึนงงสงสัยไปจนถึงช่วงท้ายโน่นเลย

เรื่องราวที่เกิดในครอบครัวที่ไม่ค่อยมีใครลงรอยกับใคร แถมตัวละครบางตัวยังมีความผิดปกติที่ชวนให้เขวไขว้ไปได้ง่าย Toni Collette คือนักแสดงที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดแล้วในหนังเรื่องนี้ เธอพาคนดูสับสนและงงงันกับสิ่งที่เกิด

สำหรับคนที่ขวัญอ่อนก็อาจจะใจเต้นระทึกได้ง่ายๆ แต่สำหรับคนที่ได้กลัวผีในหนังอย่างผม การได้ชมหนังที่เล่าเรื่องได้น่าติดตาม ชวนสงสัยพาให้ต้องปะติดปะต่อตลอดเรื่อง แถมยังพาเราหลงทางได้อีกต่างหาก

รีวิว Hereditary

ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังสยองขวัญที่น่าประทับใจ

ไม่พอ บางจุดยังใช้มุกตุ้งแช่ที่ไม่เหมือนกับที่ไหน บางจุดก็เดินเข้าสู่จุดที่เซอร์ไพรส์ไม่ทันคาดคิด เล่นเอาอึ้งแดกกันไปทั้งโรง เขาตัดต่อโดยไม่ใช่ดนตรีโฉ่งฉ่างเร้าอารมณ์ แต่ใช้เล่นกับความเงียบและอารมณ์แทน

ระหว่างที่ดูก็ได้แต่คิดในใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะเนี่ย?” หลายคำถามเกิดขึ้นในหัว พยายามหาคำตอบไปพร้อมๆ กับข้อมูลใหม่ๆ ที่ใส่เข้ามาเพิ่มตลอด แถมยังใส่กิมมิกเล็กๆ น้อย กับการถ่ายทำ มุมมองภาพ และการตัดต่อที่เท่และอินดี้

งานภาพที่ชอบและมันดูหลอนดี ก็มักจะเป็นเล่นกับความมืดและการแช่มุมภาพเอาไว้ ให้คนดูเห็นเอาเอง เรียกได้ว่า ถ้าคุณเป็นพวกกลัวผีล่ะก็ กลับมาบ้านคุณอาจจะนอนไม่หลับไปหลายวัน

นอกจากนี้ เว็บสตรีมหนังการเล่นกับกิมมิกของบ้านตุ๊กตาก็ช่วยพาคนดูเขวไปได้อีกสิ่ง อาชีพของแอนนี่เธอคือนักทำบ้านตุ๊กตา แต่การพามันอยู่ในหนังช่วยสร้างความหลอนได้มาก ยังมีกิมมิกอีกหลายอย่างที่ยังเปิดเผยไม่ได้ ทุกอย่างรวมกันเป็นหนังที่ชวนหลอนได้ทุกอย่าง แถมคนดูยังถูกหลอกซ้ำหลอกซ้อนได้ทั้งเรื่อง

ดูจบแล้วเป็นไงบ้าง

เครียดมาก เหมือนดูหนังดราม่าหนักๆ ซักเรื่องหนึ่ง ปวดกบาลและจิตตกไปเลย ด้วยเนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องทำให้เรารู้สึกเครียด กดดัน รู้สึกได้ของความจิตป่วยของตัวละครอย่างรุนแรง เด็กเดินตั๋วเดินออกจากโรงต้องไปหาน้ำหวานๆเย็นๆดื่มเยียวยาจิตใจตัวเองเลย

สรุป

หนังเรื่องนี้ไม่ตุ้งแช่เลย แต่ไม่ทำให้ตกใจเลยแม้แต่นิดเดียว จะแสยะ แหวะด้วย มีแต่ความหลอนในวิชวลของภาพ ตอนแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำอะไรให้เรากลัวไม่ได้หรอก หลังจากดูจบคิดว่าสบายแล้ว คืนนี้นอนหลับฝันดีแน่ๆ แต่หลังจากนั้นสักวันสองวัน เนื้อเรื่องและความรู้สึกของตัวละครที่เผชิญวิบากกรรมนี้ยังคงตามหลอกหลอนอยู่

คือปกติหนังผีก็จะมีวิชวลของผีน่าเกลียดน่ากลัว สยดสยองมาหลอกตัวละครให้เราเห็นจะจะกับตาเรา ภาพที่ติดตาติดอารมณ์สักพักก็จะบรรเทาคลายความกลัวไปได้ แต่เรื่องนี้ไม่เห็นตัวผีวิญญาณอะไรเลย แต่สิ่งที่หลอกหลอนกลับเป็นสิ่งที่ตัวละครเผชิญและเนื้อเรื่องที่หนักหน่วง มันหนักและหลอกหลอนยาวนานตราบเท่าที่ยังจดจำเนื้อเรื่องนี้ได้ อีกทั้งบรรยากาศและภาพที่ใช้ในเรื่องไม่ได้เป็นแบบหนัง Blockbuster เฉกเช่น conjuring, it, inciduous แต่เป็นภาพสไตล์หนังยุโรป หนังทางเลือก (อินดี้) แบบเย็นๆ หลอนๆ นิ่งๆ แต่ภาพสวยมาก เหมือนเรื่อง Her ประมาณนั้นเลย ยิ่งทำให้หลอนกันไปใหญ่

Mission Impossible Fallout

ดูหนัง HD

รีวิว Mission Impossible Fallout - มิชชั่น : อิมพอสซิเบิ้ล ฟอลล์เอาท์

Mission Impossible Fallout เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 6 ของแฟรนไชน์ นี้ซึ่งเป็นผลงานการกำกับ   mission impossible ครั้งที่ 2 ของผู้กำกับ Christopher McQuarrie ผู้กำกับภาคที่แล้วอย่าง Rogue Nation ซึ่งภาคนี้เรื่องราวจะเล่าถึง อีทาน ฮันท์ และทีมของเค้าหลังจากทำภารกิจผิดพลาดจึงต้องปฎิบัติภารกิจที่แข่งกับเวลาเพื่อให้ได้พลูโตเนี่ยมเพื่อหยุดยั้งเหตุวินาศกรรมครั้งใหม่โดยมีวอคเกอร์เจ้าหน้าที่ CIA เข้าร่วมทีมด้วย รีวิว Mission Impossible Fallout

เรื่องย่อ

พบกับการกลับมาของทอม ครูซ ใน MISSION: IMPOSSIBLE – FALLOUT มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล – ฟอลล์เอาท์ ซึ่งอีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) และทีม IMF (อเล็ก บอลด์วิน, ไซม่อน เพ็กก์, วิง เรมส์) พร้อมด้วยพันธมิตร (รีเบ็คกา เฟอร์กูสัน และมิเชลล์ โมนาแฮน) ต้องกลับมาในปฏิบัติการที่ต้องแข่งกับเวลาหลังจากที่ภารกิจเกิดความผิดพลาด นอกเหนือจากนักแสดงทีมเดิมแล้ว ภาพยนตร์ยังได้ เฮนรี่ คาวิลล์, แองเจลา บาสเส็ตต์ และ วาเนสซา เคอร์บี้ มาร่วมงานด้วย คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ ยังคงรับหน้าที่ผู้กำกับในภาคนี้เช่นเดิม

เมื่อปฏิบัติการที่เบอร์ลินทำให้ พลูโตเนียม หลุดรอดจนเกิดเหตุวินาศกรรมสถานที่สำคัญทางศาสนา ทำให้ อีธาน ฮันต์ (ทอม ครูซ) จำต้องร่วมงานกับ ออกัส วอล์คเกอร์ (เฮนรี คาวิลล์) ซีไอเอหนุ่มที่เขม่นเขาตั้งแต่แรกพบ แต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้พลูโตเนียม อาจทำให้ โซโลมอน เลน (ณอน แฮริส) ผู้ก่อการร้ายสุดโฉด หลุดรอดการจับกุมไปได้ ทำให้ทาง ซีไอเอ และ ไอเอ็มเอฟ เริ่มสงสัยในความภักดีของ อีธาน ฮันต์ (ทอม ครูซ) จนเขาต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการตามจับวายร้ายสมองเพชรและหยุดหายนะครั้งใหม่ก่อนโลกจะลุกเป็นไฟให้จงได้

ด้านตัวบท

และนี่ก็เป็นครั้งที่ 6 แล้วสำหรับ Mission Impossible จากการนำแสดงและอำนวยการสร้างของ ทอม ครูซ ที่ผ่านมามีผู้กำกับมากหน้าหลายตาที่มาเติมเต็มแฟรนไชส์สายลับชุดนี้ให้ไปไกลกว่าแค่หนังรีเมคจากซีรีส์ ทั้ง ไบรอัน เดอพัลมา ที่สร้างมาตรฐานการเล่าเรื่องเชิงสืบสวนสอบสวนสุดลึกลับ
และมีกลิ่นอายของฟิล์มนัวร์ จอห์น วู มาสานต่อตำนานและเติมฉากแอ็คชั่นดีไซน์สวยๆ ส่วน เจ เจ เอบรามส์ นอกจากมาเติมเรื่องราวเพิ่มมิติด้านครอบครัวให้ อีธาน ฮันต์ แล้วก็ยังนำบริษัท แบด โรบอต มาร่วมอำนวยการสร้างตั้งแต่ภาค 3 จนถึงปัจจุบัน

และแน่นอนว่าทอม ครูซ ก็ไม่ลังเลที่จะทดลองสิ่งแปลกใหม่ด้วยการให้ แบรด เบิร์ด ผู้กำกับ The Incredibles อนิเมชั่นซูเปอร์ฮีโร่มาชิมลางงานกำกับคนแสดงจนได้หนังที่สนุกและหลุดกรอบมากใน ภาค Ghost Protocol จนกระทั่ง ทอม ครูซ ได้เจอผู้กำกับที่เหมือนสมุนมือขวาและร่วมงานกับเขามาตั้งแต่ Jack Reacher อย่าง คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี มากำกับภาคที่ 5 อย่าง Rogue Nation จนมาถึง FALLOUT ภาคนี้  ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ แม็คควอรี สามารถรวบรวมจุดเด่นของหนัง M:I ทุกภาคไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งบทที่เน้นสืบสวนสอบสวนอย่างมีชั้นเชิง หรือ ฉากแอ็คชั่นสุดท้าทาย ก็ทำได้อย่างลงตัว

โดยภาค FALLOUT นี้สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากสำหรับบทที่แม็คควอรีเขียนคือการตีความคำว่าผลกระทบหรือโทษ (Fallout) จากความหวังดีของอีธาน ฮันต์ ทั้งความรักเพื่อนที่ทำให้งานเสียไปจนถึงการกล่าวถึงตัวละครจากภาค 3 อย่างจูเลีย (มิเชล โมนากาน) ก็ยังเกี่ยวพันกับความหวังดีที่กลายเป็นผลร้ายตามมาถึงตัวเขาและทีมดูหนัง HDได้เป็นอย่างดี

ซึ่งกลายเป็นลูกเล่นสำคัญที่คนดูจะต้องลุ้นทุกครั้งที่อีธานตัดสินใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยิ่งทำให้หนังเข้มข้นชวนติดตาม ควบคู่ไปกับปริศนาหลายอย่างทั้งคำถามว่าใครคือ ลาร์ค ผู้ก่อการร้ายตัวจริงกันแน่ ไปจนถึงตัวละครต่างๆว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู ชวนคนดูคิดตามได้อย่างสนุกสนานทีเดียว ซึ่งก็ทำให้ Mission : Impossible FALLOUT มีกลิ่นอายแบบหนังสายลับยุค 80 ที่ตัวละครต่างสูญเสียความไว้วางใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
รีวิว Mission Impossible Fallout

องค์ประกอบสำคัญถ้านอกจากฉากแอ็คชั่นแล้วคงหนีไม่พ้นนักแสดงทั้งหมดในเรื่อง ทั้งสายทุ่มเทอย่าง ทอม ครูซ ที่เล่นฉากสตันท์เองจนได้รับบาดเจ็บที่เข่าในฉากกระโดดข้ามตึก หรือแม้แต่การทุ่มเทฝึกการโดด ฮาโล (HALO – High Altitude Low Opening) ถึง 1 ปีเต็มเพื่อฉากแอ็คชั่นสำคัญของเรื่อง

ก็ให้ผลลัพธ์ที่ต้องบอกว่า ความพยายามหนังออนไลน์ไม่เคยทรยศใครจริงๆ เพราะงานสตันต์ทุกฉากทุกตอนคือชวนอ้าปากค้างจริงๆ นะไม่ได้เวอร์เลย และไม่ใช่แค่พี่ทอม ครูซนะ แม้แต่ รีเบคกา เฟอร์กูสัน ที่กลับมารับบท อิลซา ก็เล่นฉากแอ็คชั่นแม้ตัวเองจะท้องอยู่ก็ตาม (พอหนังปิดกล้อง อายุครรภ์ของเธอก็ได้ 7 เดือนพอดี)

ด้านนักแสดง

ส่วนนักแสดงคนอื่นๆทั้ง วิง เรมส์ ที่กลับมารับบท ลูเธอร์ เป็นครั้งที่ 6 ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์เหมือนเป็นครอบครัวตัวละครที่โตมากับเราจริงๆ ไซมอน เพกก์ ในบท เบนจี้ ก็ยังฮาและสร้างเซอร์ไพร์สได้ดีเช่นเดิม สำหรับสมาชิกใหม่อย่าง เฮนรี คาร์วิลล์ หรือพี่ซูเปอร์แมนของเราก็ทำให้ฉากบู๊ดูดุดันไม่น้อยเลยทีเดียวแต่คนที่ทำให้ใจพองโตที่สุดเห็นจะเป็น

วาเนสซา เคอร์บี้ ในบท แม่มายขาว หรือ ไวต์วิโดว์ คนกลางค้าอาวุธที่สวยแบบวัวตายควายล้ม สวยแบบขายบ้านขายรถ คือเห็นแล้วพร้อมหลงกลได้ง่ายๆเลยทีเดียว ซึ่งแม้นุ้งเคอร์บีจะไม่ได้สวมชุดราตรีสุดหรูแบบในซีรีส์เดอะคราวน์ ทาง เน็ตฟลิกซ์ แต่ใบหน้าอันแสนจะเพอร์เฟกต์ของเธอก็เพียงพอให้กล้องถ่ายทอดความงามในทุกฉากที่ปรากฎตัวได้เป็นอย่างดี

ความรู้สึก

ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงกว่าในโรงภาพยนตร์ ตัวหนังสะกดให้ผมจดจ่อไปกับภาพยนตร์ได้ตลอดเวลา ความสนุกสนาน ตื่นเต้นและมุกตลกสอดแทรกเป็นสีสันในแบบฉบับของ MI ยังคงวิ่งเข้าหาคนดูอย่างไม่หยุดยั้ง

แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากภาคก่อนหน้าคือความรู้สึกหลังดูจบ  ในภาคนี้ผมเดินออกจากโรงภาพยนตร์ด้วยการใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าอย่างเต็มอิ่มไปกับตัวภาพยนตร์แต่ในขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก

ตัวภาพยนตร์ส่งมอบจุดเด่นของแต่ละภาคไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขับรถไล่ล่า การทรยศหักหลังพลิกซับสลับซ้อน การทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริง การบีบคั้นคนดูด้วยลูกเล่นของเวลาไปถึงการหยิบจับตัวละครต่าง ๆ มาแบ่งสรรปันส่วนให้ลงตัวไม่มีใครน้อยหน้าไปกว่ากัน

เรียกได้ว่าผสมสิ่งต่าง ๆ ของภาพยนตร์ MI เอาไว้ในภาคเดียวเต็มอิ่มจนเหมือนเป็นการสั่งลาด้วยวัฐจักรทั้งในเรื่องของความยากในการสร้างภาพต่อให้ดีกว่า การหาตัวแทนของทอม ครูซในวันที่พระเอกหนุ่มสุดหล่อต้องห่างหายไปตามอายุอานาม

สรุป

Mission Impossible Fallout คือภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดูทั้งคนที่เป็นแฟนซีรีส์นี้และคนที่ไม่เคยดูมาก่อน จูงมือกันเข้าไปดู ใช้เวลากับมัน แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมภาพยนตร์ชื่อนี้ถึงได้รับความนิยมอย่างมหาศาลตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563

Skyscraper

ดูหนัง HD

รีวิว Skyscraper - ระห่ำตึกเสียดฟ้า

สำหรับคอหนังแอ็กชั่นคงมีน้อยคนที่จะไม่รู้จัก Die Hard (1988) หนังระดับตำนานของ จอห์น แมคเทียร์แนน ผู้กำเนิดหนัง Predator (1987) ฉบับ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ และทำให้ บรูซ วิลลิส กลายเป็นพระเอกนักบู๊ขึ้นหิ้งของวงการจากหนังไต่ตึกระห่ำนรกเรื่องนี้ นอกจากพลอตที่แหวกแนวของ Die Hard อย่างการสร้างสถานการณ์ ต้องช่วยเหลือตัวประกันบนตึกสูงจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายอาวุธครบมือด้วยตัวคนเดียวแล้ว รีวิว Skyscraper

เรื่องย่อ

ดเวย์น จอห์นสัน หรือ เดอะร็อก รับบท วิล ซอว์เยอร์ อดีตหัวหน้าทีมช่วยชีวิตตัวประกันเอฟบีไอและอดีตทหารผ่านศึก ซึ่งปัจจุบัน รับงานประเมินความปลอดภัยให้กับตึกระฟ้า เขามารับงานในจีนแต่กลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์เพลิงไหม้บนตึกที่สูงสุดและปลอดภัยที่สุดของโลก และเขาเองก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนวางเพลิงเสียด้วย นอกจากเขาต้องค้นหาว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วยังต้องช่วยเหลือครอบครัวทั้งภรรยาและลูก ๆ ที่ติดอยู่ในตึกนั้นอีกด้วย นี่คือหนัง Die Hard แห่งยุค 2018 อย่างแท้จริง

สำหรับคอหนังแอ็กชั่นคงมีน้อยคนที่จะไม่รู้จัก Die Hard (1988) หนังระดับตำนานของ จอห์น แมคเทียร์แนน ผู้กำเนิดหนัง Predator (1987) ฉบับ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ และทำให้ บรูซ วิลลิส กลายเป็นพระเอกนักบู๊ขึ้นหิ้งของวงการจากหนังไต่ตึกระห่ำนรกเรื่องนี้ นอกจากพลอตที่แหวกแนวของ Die Hard อย่างการสร้างสถานการณ์ ต้องช่วยเหลือตัวประกันบนตึกสูงจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายอาวุธครบมือด้วยตัวคนเดียวแล้ว

แต่ปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งนอกจากพลอต และความมันสะใจแล้ว สิ่งที่ทำให้ นรกระฟ้า ได้รับความนิยมอย่างสูงจนมีภาคต่อออกมาถึง 5 ภาค โดยภาคหลังสุดคือปี 2013 ในชื่อ A Good Day to Die Hard คือการสร้างคาแรกเตอร์พระเอกนักบู๊แนวใหม่ที่ชื่อ จอห์น แมคเคลน (บรูซ วิลลิส) ที่ไม่ได้เทพ

แต่ดูมีความเป็นมนุษย์ติดดิน มีปมในใจ มีความอ่อนแอบาดเจ็บได้ และมีนิสัยแบบปุถุชนพานพบได้ตามท้องถนน ทั้งความกวนและหยาบกระด้าง นี่จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญให้หนังบู๊ในยุคหลังมา สร้างตัวละครที่น่าจดจำมากขึ้นกว่าแค่การระเบิดภูเขาเผากระท่อมอย่างที่เป็นมาหลายทศวรรษ

และ Skyscraper หรือ ระห่ำตึกเสียดฟ้า ก็พยายามเดินรอยตามความสำเร็จของหนัง นรกระฟ้า อย่างจงใจเสียด้วย

แม้ผู้กำกับ รอว์สัน มาร์แชล เธอร์เบอร์ จาก We’re the Millers (2013) และ Central Intelligence (2016) ซึ่งเรื่องหลังนี่ได้ร่วมงานกับ เดอะร็อก มาก่อนแล้ว ก็ดูจะชัดเจนในแนวทางหนังบู๊บันเทิงฮาแตกเสียมากกว่าจะมาบู๊เข้มข้น แต่กับเรื่องนี้กลายเป็นว่าเธอร์เบอร์จัดหนักด้วยสารพัดเหตุการณ์บีบคั้นให้ตัวละครต้องวิ่งหนีตาย และแก้ปัญหาเหนือตึกสูงระฟ้าที่กำลังไฟลุกไหม้ ได้อย่างมันหยด และสนุก

สิ่งที่ต้องชื่นชมนอกจากการที่พา เนฟ แคมเบล จาก Scream ที่เราไม่ได้เห็นบนหนังระดับบล็อกบัสเตอร์มานานมากกลับมาขึ้นจอโชว์ความสวย และการแสดงที่ดุดันเสมอต้นเสมอปลายเหมือนกันแทบทุกเรื่องของเดอะร็อก แล้วนั้น คือการที่หนังสร้างตัวร้ายอย่าง คอเลส โบธา ได้โหดเหี้ยมน่าจดจำ

ที่สำคัญไม่งี่เง่าทำอะไรโง่ ๆ ด้วย และอีกตัวละครสมทบที่แย่งซีนได้ดีอย่าง เศรษฐีจีนเจ้าของตึกอย่าง จ้าว ที่รับบทโดย 1 ใน 25 ดาราเอเชียยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของเว็บ CNNGo อย่าง ชิน ฮาน และตัวละครของภรรยาสาวสุดสวยตัวจริงของ เจย์ โจว อย่าง ฮันนาห์ คุนลิแวน ที่มารับบทมือขวาของตัวร้ายได้อย่างน่าหมั่นไส้ดีเหลือเกินก็น่าจดจำมากเช่นกัน

ถือว่าหนังมีตัวละครหลัก ตัวละครสมทบที่แน่นมาก ซึ่งแม้หนังจะมองข้ามความสมจริงเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเพื่อเดินเรื่องให้ไว ให้กระชับสุด ๆ แต่ก็ไม่มีตัวละครไหนที่ถึงกับตรรกะวิบัติจนต้องกุมขมับ อันนี้ชอบมาก
ส่วนที่เราตะหงิด ๆ หรือสงสัยหลายจุด ก็มีตามธรรมดาหนังบู๊เน้นบันเทิง อย่างก่อนหน้าก็มีชาวเน็ตออกมาวิจารณ์ความสมจริงของโปสเตอร์หนังว่ามันไม่น่าจะโดดถึงได้ อันนี้ในหนังเองก็เช่นกันมันจะมีจุดที่ชวนสะดุดคิดอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ถ้าดูเอามันเอาผ่อนคลายก็ถือว่ามองข้ามได้ และหนังก็มอบความบันเทิงได้คุ้มศักยภาพของมันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

วิจารณ์

เรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้มุ่งเน้นความบันเทิงในการลุ้นระทึกของความเสี่ยงตาย อุปสรรคที่มีตลอดเวลา แถมยังใช้ความเป็นครอบครัวมาเป็นแก่นของการดำเนินเรื่องราวที่ชวนให้คนดูที่ต่างก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองจนง่ายที่จะอิน

แม้ว่าดูจากพล็อตแล้ว จะไม่มีอะไรมากไปกว่า การที่พ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องไปช่วยลูกเมียที่ติดอยู่ในตึกสูงและเกิดเพลิงไหม้อยู่ เท่านั้นแหละ หนังสร้างให้มีโครงการตึกระฟ้าที่โคตรสูงกว่าที่โลกเคยมีมา โครงการมีระบบดับเพลิงที่แสนจะอัตโนมัติและทันสมัย

ทว่า ในระหว่างที่ตึกยังเปิดให้บริการไม่หมด และอยู่ในช่วงที่พระเอกกำลังเข้ามาประเมินความปลอดภัย แถมยังได้เข้ามาพักอาศัยเป็นกลุ่มแรก ก็เกิดเหตุขึ้น เมื่อมีชั้นหนึ่งถูกวางเพลิง ทำให้พระเอกผู้ซึ่งมีอดีตทำร้ายต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยครอบครัวแม้ตัวเองจะถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย

ด้านตัวบทหนัง

หนังเปิดเรื่องมาที่วิลล์ ซอว์เยอร์ (ดเวย์น จอห์นสัน) อดีตนาวิกโยธินที่เป็นฝ่ายจู่โจม หลังจากภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน เขาต้องสูญเสียขาข้างซ้ายส่งผลทำให้เขาต้องใส่ขาเทียม ซึ่งขาเทียมนี่แหละที่เป็นทั้งตัวช่วยและเป็นทั้งจุดกังขาให้คนดูตลอดเวลาว่าตกลงแล้วตัวละครนี้ใส่ขาเทียมจริงๆหรือเปล่าเพราะดูเดินเหิน เคลื่อนไหว ใช้แรงส่งเตะต่อย หรือกระโดดพุ่งตัวได้ในระยะไกลจนเหลือเชื่อไปหมด

ก่อนที่จะไปถึงจุดที่ว่าทำไมตัวละครทำอะไรเหลือเชื่อในหนังเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาไปถึงบทหนังของ Skyscraper เราก็ยิ่งมองเห็นความพิลึกพิลั่นและความขี้เกียจของคนเขียนบทดูหนัง HDมากขึ้นเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์ระเบิดหนังก็ตัดภาพกระโดดข้ามช่วงเวลามาอีกหลายปีและวิลล์ได้แต่งงานกับดร.ซาร่าห์ ซอว์เยอร์(เนฟ แคมป์เบลล์) ศัลยแพทย์ประจำกองทัพ

ทั้งสองมีลูกด้วยกันสองคน เขาได้ย้ายมาอยู่ที่เดอะเพิร์ล ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 225 ชั้น และมีความสูงมากกว่า 3,500 ฟุต อาคารแห่งนี้ตั้งอยู่สุดขอบเกาลูน บริเวณ วิคตอเรีย ฮาร์เบอร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเกาะฮ่องกง แต่เนื่องจากอาคารแห่งนี้ยังไม่ได้เปิดให้บริการทุกชั้นเพราะยังไม่ได้รับการประเมินความปลอดภัยในภาพรวม

รีวิว Skyscraper


วิลล์ที่ปัจจุบันประกอบอาชีพผู้รับเหมาเอกชนในการให้คำแนะนำเรื่องการประเมินความปลอดภัย ประจวบเหมาะพอดีกับการที่เจ้าหมิงซี่ (ชิน ฮาน) เจ้าของตึกเดอะเพิร์ลต้องการจะเปิดตึกให้เต็มรูปแบบ ทั้งสองจึงได้ร่วมงานกัน แต่ไม่นานตึกเดอะเพิร์ลก็เกิดเพลิงไหม้ ลูกเมียของเขาติดอยู่ในตึกดังกล่าว ยังไม่พอแค่นั้นหนังถ่ายทอดสดเขายังโดนใส่ความว่าเป็นตัวการในการวางเพลิงตึกนี้ ทำให้วิลล์ต้องพิสูจน์ตัวเอง ช่วยเหลือลูกเมีย ให้ทันเวลา

ด้านการดำเนินเรื่อง

กลไกการดำเนินเรื่องไปข้างหน้าของ Skyscraper ดูง่ายไปหมด ตั้งแต่การที่บรรดาตัวร้ายของเรื่องเจาะกำแพงตึกของเดอะเพิร์ลเข้า จนเราแอบรู้สึกว่าตึกที่การันตีตัวเองว่ามีความสูงและปลอดภัยที่สุดในโลก ทำไมกำแพงหนาขนาดนั้นสามารถเจาะทะลุง่ายๆ หรือระบบตรวจตรารักษาความปลอดภัยกลับเอื้อให้คนเข้ามาก่อการร้ายได้ง่ายถึงเพียงนี้

ยังไม่รวมไปถึงคนดูก็แทบจะไม่มีโอกาสได้เห็น “ชั้นล่าง” ที่เป็นบริเวณศูนย์การค้าหรือ แง่มุมต่างๆของตึกเท่าไหร่ พูดง่ายๆคือคนดูมีโอกาสได้เห็นแค่ “ข้างนอกตึก” และชั้นที่หนังอยากให้คนดูได้เห็นเท่านั้น บรรดาชั้นอื่นๆคนดูจึงต้องจินตนาการและอนุมานไปเองว่ามันคงมีสภาพโครงสร้างเป็นยังไง

เมื่อคนดูไม่มีโอกาสทำความรู้จักตัวตึกมากนัก (พอๆกับการได้ทำความรู้จักตัวละครหลายๆตัวในหนังเรื่องนี้) สภาพของตัวละครที่มีความแบนเป็นไม้กระดานอยู่ จึงยิ่งเหมือนโดนเตารีดนาบเพิ่มไปอีก เพราะยังไงคนดูก็รู้อยู่แล้วว่าถึงวิลล์จะทำอะไรก็ตาม เขาต้องอยู่รอดปลอดภัยและช่วยเหลือลูกเมียได้สำเร็จแน่นอน

อะไรจะน่าเบื่อไปกว่าการที่คนดูรู้ผลลัพธ์ของหนังอยู่แล้ว แถมระหว่างทางของเรื่องดันไม่สามารถสร้างความบันเทิงร่วมด้วยไปกับหนังได้อีก Skyscraper จึงเป็นหนังที่จะหยิบเอาหายนะบนตึกสูงเอามาสร้างได้อย่างจืดชืดและซ้ำรอยหนังเก่าจนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนัก

ที่ชอบ

สิ่งที่ดีมากๆก็แน่นอนครับก็คือพระเอกของเรา Dwayne Johnson พี่แกก็แสดงได้ดีมากๆ แต่ละฉากของหนังตื่นเต้นเพราะพี่แกเนี่ยแหละใส่อารมณ์กับตัวละครเต็มที่ และอีกอย่างก็คือตึก The Pearl ที่หนังสร้างได้สวยมากๆ แบบว่าอยากให้มีตึกนี้อยู่จริงๆ แบบว่ามันสวยมากๆ ทำ CG ได้ดีสุดๆ เลยครับ

สรุป

เอาเป็นว่าใครชอบเดอะร็อก น่าจะสนุกกับเรื่องนี้เช่นเคยกับฉากเสี่ยงชีวิตท่ามกลางซีจีสมจริงของตึกระฟ้าไร้ทางหนี ใครชอบ Die Hard มาก่อน นี่คือหนังที่เดินตามสูตรสำเร็จของหนังฮอลลีวู้ดเทือกนี้มาเลย หลายอย่างอาจเดาได้แต่ก็สนุกอยู่ดี อาจไม่ได้สดใหม่เท่าตัวหนังของบรูซ วิลลิส แต่ก็ถือว่าแก้ขัดแก้คิดถึงได้เหมือนกัน (อย่างน้อยก็ดีกว่า Die Hard ภาคหลังสุดล่ะนะ )

ปล.ก็เป็นหนังที่บีบคั้นหัวใจ ตื่นเต้น ยังไงผมก็ว่าคุ้มค่าตั๋วแน่นอนครับ ไม่เสียดายเลยหลังดูจบ วันหยุดนี้ก็ลองตีตั๋วเข้าไปชมกันดูครับ

Animal World

ดูหนัง

รีวิว Animal World - เจิ้งไค ฮีโร่เกรียนกู้โลก

อีกหนึ่งหนังแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ของฝั่งพี่จีนที่กระแสดีมากจนขึ้นบ็อกซ์ออฟฟิศอันดับ 1 ในแดนมังกร ดัดแปลงมาจากกร์ตูนเรื่อง ไคจิ กลโกงเกมมรณะ ของ อ.โนบุยุกิ ฟุคุโมโตะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการ์ตูนหายากในบ้านเราพอๆ กับหนังสือซีรีส์ ‘โคตรโกง’ ของใบไผ่เขียวเลย โดยคราวนี้ได้ หลี่อีเฟง ซุปตาร์ตี๋ที่มีติ่งในบ้านเราไม่น้อยมารับบทเป็น ‘เจิ้งไคซือ’ หนุ่มชีวิตบัดซบ แม่ป่วยนอนติดเตียง แถมอยู่มาวันหนึ่งเผลอเอาบ้านตัวเองไปเซ็นค้ำประกันให้เพื่อนสมัยเรียนจนแบกหนี้สินหลายสิบล้านที่ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด ทางเลือกที่เขามีในตอนนี้คือเข้าเล่นเกมเดิมพันบนเรือสำราญ ซึ่งหากชนะจะได้เงินปลดหนี้มีชีวิตใหม่ แต่หากแพ้จะต้องกลายเป็นหนูทดลองและตายอย่างทรมานในห้องดำ รีวิว Animal World

เรื่องย่อ

บอกเล่าถึงสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ณ ใจกลางมหาสมุทร “เงิน” คือสิ่งเดียวที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับสถานที่แห่งนี้ และทุกคนในที่นี้สามารถยอมตายได้เพื่อเงิน ชาง (หลี่อี้เฟิง) ชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่ต้องแบกรับหนี้สินจำนวนมหาศาลที่เขาไม่ได้ก่อ อีกทั้งแม่ของเขากำลังป่วยจนไม่ได้สติ หนทางรอดทางเดียวของเขาก็คือการเข้าร่วมเล่นในเกมสุดระทึกที่ต้องใช้ชีวิตของผู้เล่นเป็นเดิมพันในอนิมอล เวิลด์ ที่จัดโดยผู้มีอิทธิพลในด้านมืด แอนเดอร์สัน (ไมเคิล ดักลาส) ภายในที่แห่งนี้ ศีลธรรมความดีงามจะเป็นแค่สิ่งฉุดรั้ง มีเพียงผู้ที่สามารถปลดปล่อยสัญชาติญาณแห่งสัตว์ป่าเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะในเกมเกมนี้

Animal World หรือ ‘เจิ้งไค ฮีโร่เกรียนกู้โลก’ (ชื่อไทยเห๊ยเห่ย..) แถมหน้าหนังนี่หลอกนึกว่าไปทางหนังแอ็คชันอวยพี่จีนซะสนิท เรียกว่าผิดคาดมากกับเนื้องานตลอด 2 ชั่วโมง มีความเซอร์ มีความไซไฟ ที่วิชวลเล่นใหญ่จัดเต็มมากตามสไตล์พี่จีนสร้าง ไม่รู้แม่งจะสโลว์โมชันเยอะไปไหน

กว่าจะเข้าเรื่องที่จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากนี่เจอ ความมโนของเจิ้งไคซือไปเล่นเอาปวดหัวเลย (ฮา) ความเยอะตรงนี้อยากจะหักคะแนนออกไปหน่อย เพราะครึ่งหลังของหนังนั้นคุ้มค่าทุกนาทีมาก ๆ คือเรียกว่าจากทรงที่ทำท่าว่าจะออกมางั้น ๆ เหมือนพวก Sucker Punch แต่แล้วเมื่อ เจิ้งไคซือ เข้าไปในโลกของเกมเดิมพันแห่งชีวิตแล้ว มันกลายเป็นหนังน้อง ๆ ซีรีส์ Liar Game ไปเลย

หนังเรื่องนี้ เราจะได้เห็นพัฒนาการของ เจิ้งไคซือ, ที่มาที่ไปของตัวตลกที่มักจะปรากฏตัวบนความคิดของเขาทุกครั้งเมื่อมีอะไรมากระทบจิตใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ และตัวตลกนี่เองที่หนังแผ้วทางเอาไว้เป็นภาคต่อได้ยาว ๆ รวมทั้งบทบาทของ ไมเคิล ดักลาส ที่เพิ่มความน่าเกรงขามให้ตัวหนังเทา ๆ ที่ล้อเล่นกับจิตใจของคนแบบนี้ได้คมชัด ไม่ได้พี่จีนเอามาหลอกแดกเป็นตัวประกอบเหมือน สตีเฟ่น ซีกัล จอมหักกระดูกที่เอาชื่อมาทิ้งเป็นเสี่ยหมูขึ้นอืดสิงอยู่ร้านเหล้าใน China Salesman

Animal World นอกจากสอบผ่านเรื่องเอามาทำใหม่แล้วดูสนุกแล้ว แคสนักแสดงชุดนี้ยังลงตัว ขับอินเนอร์กันออกมาดีกว่าที่คิดมาก ขนาด โจวตงหยู ที่รับบทเป็นสมทบเป็นแฟนของ เจิ้งไคซือ โผล่ออกมาไม่กี่ซีนแต่เอาเรื่องทุกซีน ส่วน หลี่อีเฟิง เองเข้าถึงบทแบบได้กลิ่นของ ไลท์ ใน DeathNote เลยภาพรวมแล้ว อาจจะปูเรื่อง ล่อซีจีจนเลอะเทอะไปบ้างตามแบบฉบับพี่จีนสายล้น แต่ความชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยม หักมุมนั้นให้อภัยได้ และทำให้คนดูอินกับหนังไปจนสุดทาง ไม่มีคำว่าเสียดายตังค์

วิจาร์ณ

เรื่องราวเกี่ยวกับ สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ณ ใจกลางมหาสมุทร “เงิน” คือสิ่งเดียวที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับสถานที่แห่งนี้ และทุกคนในที่นี้สามารถยอมตายได้เพื่อเงิน ชาง ชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่ต้องแบกรับหนี้สินจำนวนมหาศาลที่เขาไม่ได้ก่อ  อีกทั้งแม่ของเขากำลังป่วยจนไม่ได้สติ หนทางรอดทางเดียวของเขาก็คือการเข้าร่วมเล่นในเกมสุดระทึกที่ต้องใช้ชีวิตของผู้เล่นเป็นเดิมพันในอนิมอล เวิลด์ ที่จัดโดยผู้มีอิทธิพลในด้านมืด แอนเดอร์สัน ภายในที่แห่งนี้ ศีลธรรมความดีงามจะเป็นแค่สิ่งฉุดรั้ง มีเพียงผู้ที่สามารถปลดปล่อยสัญชาติญาณแห่งสัตว์ป่าเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะในเกมเกมนี้

เนื้อเรื่องจริงๆ คือ พระเอกชื่อเจิ้งไคซือ นำแสดงโดยหลี่อี้เฟิงเป็นคนฉลาด แต่เพราะต้องเสียพ่อไปแต่เล็กด้วยเหตุสะเทือนขวัญบางอย่างทำให้มีจิตแปรปรวน เวลาโกรธหรือโมโห จิตมักจินตนาการภาพคนรอบกายเป็นเอเลี่ยนและตัวเขาเป็นตัวตลกที่มีพลังพิเศษออกมาฆ่าเอเลี่ยนพวกนั้น แต่ทุกอย่างก็เป็นแค่ภาพในหัว

ชีวิตจริงของเจิ้งไคซือตกต่ำเพราะเมื่อเสียพ่อ ทำให้บ้านยากจนลง แม่ทำงานหนักจนป่วยนอนโคม่า เขาต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมารักษาแม่ มีแฟนสาวคนหนึ่งชื่อหลิ่วชิง (โจวตงอวี่) ก็ไม่กล้าขอเธอแต่งงานเพราะเจียมตัวว่าจน

วันหนึ่งเพื่อนเก่าชื่อหลี่จุนมาหา บอกว่ามีทางทำเงินแต่ต้องเอาบ้านแม่มาจำนอง เจิ้งไคซือหลงเชื่อยอมทำตาม แต่ต่อมากลับพบว่าตัวเองโดนหลอกให้ไปค้ำประกันเงินกู้แถมติดหนี้มหาศาลชนิดชาตินี้ไม่มีทางใช้คืน

แอนเดอร์สัน (ไมเคิล ดักลาส) นายทุนผู้เป็นเจ้าหนี้เสนอหนทางไถ่หนี้แบบเร่งรัดด้วยการให้เขาไปลงเรือแล้วเล่นพนันกัน เจิ้งไคซือจำต้องยอมทำตามไม่งั้นชีวิตเขาคงไม่ต้องลืมตาอ้าปากอีก

เมื่อขึ้นไปบนเรือพบว่ามีผู้คนหลากหลายสัญชาติต่างมาเล่นพนันกันด้วยหลากหลายเหตุผล
ความสนุกอยู่ตรงวิธีการเล่นไพ่นี่ล่ะใครเคยดูหนังเก่า พวกโคตรเซียนเกาจิ้ง อะไรเถือกนั้น หรือเด็กรุ่นใหม่ คุ้นเคยกับการ์ตูน ยูกิ เกมกลคนอัจฉริยะ ภาคเกมไพ่ จะอารมณ์ประมาณนั้นเลย ทุกคนสู้กันด้วยกลโกง ทริกต่างๆ ที่จะเอาชนะเกมไพ่

วิธีเล่นโดนคร่าวๆ คือ ทุกคนจะได้ไพ่ค้อน กรรไกร กระดาษ ชนิดละ 4 ใบรวม 12 ใบ และดาวคนละ 3 ดวง กติกาคือให้ดวลไพ่กัน (กติกาแบบเป่ายิ้งฉุบ) ใครชนะก็ได้ดาวของอีกฝ่ายไป มีเวลา 4 ชม. ต้องมีดาวในมือมากกว่า 3 ดวงและไม่เหลือไพ่ในมือจึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป

ถ้าใครไม่เหลือดาว แต่มีเงินสามารถเอาเงินซื้อดาวได้ หรือสามารถแลกไพ่และดาวได้อย่างอิสระ แต่ถ้าใครทิ้งไพ่ที่อื่นนอกจากการถูกยึดในเกม จะถูกกำจัด (ถูกฆ่าหรือเอาไปเป็นหนูทดลองยา) ถ้าดูหนังมีดาวเกินตอนที่เวลาหมด สามารถขายดาวได้ หรือเอาไปไถ่ตัวคนที่แพ้ได้นอกจากที่กล่าวไปแล้วนั้น สามารถโกงได้อย่างอิสระ ถ้าไม่อยู่ในกฎถือว่าไม่ผิด

รีวิว Animal World


พระเอกเราจากที่ใสซื่อก็โดนโกงดาวไป 2 ดวงก่อนค่อยๆ ตั้งหลักได้ จากนี้ไปคือความสนุกเพราะมีความชิงไหวชิงพริบ วางแผนเอาชนะคู่ต่อสู้ คู่ต่อสู้ก็โหดเพราะเป็นมือเก่า แถมมีการโดนหลอกจากคนใกล้ตัวเป็นระยะๆ เป็นการสื่อถึงชื่อเรื่องว่า นี่คือโลกของสัตว์ป่า โลกแห่งความหฤโหด แม้แต่คนใกล้ชิดก็เชื่อไม่ได้ ไม่มีความปราณีใดๆ ทั้งสิ้น เอ็นดูเขา เอ็นเราขาดโดยแท้

กว่าจะจบเรื่อง พระเอกเราก็สะบักสะบอมโดนหลอก โดนโกงตลอด เป็นหนังไพ่ที่ดูสนุกมาก ต้องคิดตามตลอด บางทริกก็ตามไม่ค่อยทัน แม้เราจะโง่เลขฟังการคำนวณจับคู่ไม่ค่อยทัน แต่รู้สึกระทึกและลุ้นไปกับเกมมาก

ด้านการดำเนินเรื่อง

เป็นหนังที่ดำเนินเรื่องสนุก และชวนให้ติดตามมากๆ ชอบที่โปรแกรมหนังใช้สัญลักษณ์ ปีศาจ และการต่อสู้ของอีกตัวตน แทน การต่อสู้กับด้านมืดของผู้คนมากๆ ในส่วนของงาน production ต้องออกปากชมเลยว่าถ่ายทำออกมาได้สวยและประทับใจมากๆ งาน CGi สวย รู้สึกประทับใจสุดๆ
ชอบที่หนังเลือกเล่าประเด็นด้านมืดของคน คุณค่าของชีวิต และปมภายในใจของตัวละครออกมาได้อย่างน่าสนใจ เป็นหนังที่อีกเรื่องที่เรารู้สึกว่าบทมันออกแบบมาได้ดี และทุกอย่างลงล็อคมากๆ
ชอบไอเดียที่ว่าด้วยเรื่องของ ฮีโร่ที่ต่อสู่กับปีศาจ ซึ่งก็คือ ตัวตนของตัวเองที่ต่อสู้กับด้านมืด แต่ในขณะเดียวกัน ตัวละครก็มองตัวเองว่าเป็นคนบ้า ในโลกที่มีปีศาจมากมายเหลือเกิน ซึ่งปีศาจในทีนี้หมายถึง ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นนามธรรมที่เราพูดถึงกันอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับหนังเรื่องนี้คือ เลือกที่จะเล่ามันออกมาเป็นรูปธรรมเลย
อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆ คือ Yi Feng Li  และ Dongyu Zhou ที่เป็นคู่ที่เคมีเข้ากันเหลือเกิน คือทุกครั้งที่คู่นี้ต้องมีพาร์ทความสัมพันธ์ มันจะรู้สึกแอบเขินอะไรก็ไม่รู้แบบแปลกๆ จนทำให้รู้สึกว่า น่ารักจังเลย

ส่วนเนื้อเรื่อง

ในส่วนของเนื้อเรื่อง ANIMAL WORLD เจิ้งไค ฮีโร่เกรียนกู้โลก ยังคงแกนของต้นฉบับจากมังงะได้อย่างครบถ้วน และเพิ่มเติม ปรับเปลี่ยนเพื่อให้สมจริงมากยิ่งขึ้น แม้จากตัวอย่างภาพยนตร์จะดูเหมือนเป็นหนังแอ๊คชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้คือหนังจิตวิทยาที่ใช้ความคิด หักเหลี่ยมเฉือนคม ชิงไหวชิงพริบ และเล่นกับจิตใจด้านมืดของมนุษย์

ด้านงานภาพ

ต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้สุดจริงๆ ทั้งฉากแอ๊คชั่น CG สเปเชียลเอฟเฟกต์ และมุมกล้องสโลโมชั่นล้ำๆ ที่ทำออกมาแล้วสร้างสรรค์มากๆ เทียบชั้นกับหนังฮอลลีวู้ดชื่อดังหลายเรื่องได้เลย

ด้านนักแสดง

เริ่มต้นกันที่ หลี่อี้เฟิง ผู้แสดงเป็น เจิ้งไคซือ ที่ทั้งหล่อและแสดงได้สมบทบาท แถมยังมีซีนโชว์เท่ถูกใจสาวไปตลอดทั้งเรื่อง ส่วน ไมเคิล ดักลาส นักแสดงมือเก๋าจากฮอลลีวู้ด ก็ได้โชว์การแสดงที่มีพลังและน่าเกรงขามมากๆ นักแสดงสมทบคนอื่นก็แสดงได้ดี

สรุป

ANIMAL WORLD เจิ้งไค ฮีโร่เกรียนกู้โลก ไม่ใช่หนังแอ๊คชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ตามที่ชื่อหนังและตัวอย่างภาพยนตร์แสดงให้เราเห็น แต่นี่คือหนังที่โชว์ชั้นเชิง ใช้ความคิด หักเหลี่ยมเฉือนคม เพื่อเอาชนะจากเกมพนันที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิต งานวิชวลเอฟเฟกต์ที่ตื่นตา เนื้อเรื่องสนุกน่าติดตาม บีบคั้งทุกอารมณ์ไปตั้งต้นจนจบ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้คะแนนจากเราไป

Ant-Man and the Wasp

ดูหนัง

รีวิว Ant-Man and the Wasp - แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์

นี่ก็เป็นครั้งที่ 3 ที่เราได้เห็นฮีโร่ตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นมา นับตั้งแต่ครั้งแรกใน Ant-Man (2015) จนครั้งต่อมาใน Captain America: Civil War (2016) และล่าสุดกับภาคต่ออย่างเป็นทางการของ Ant-Man ในชื่อเรื่องที่ว่า Ant-Man and the Wasp โดยมีชื่อแปลไทยอย่างง่ายๆ ว่า แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ แต่ในภาคนี้ได้มีคู่หูคู่ใจมาอีก 1 นั่นก็คือ The Wasp ที่ทั่งสวย เก่ง และเท่ ในแบบฉบับสาวบู๊ รีวิว Ant-Man and the Wasp

เรื่องย่อ

หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก และควันหลงจาก กัปตัน อเมริกา: ซีวิล วอร์ พระเอกมนุษย์มดรุ่น 2 อย่าง สก็อตต์ แลงก์ (พอล รัดด์) ต้องรับมือกับผลลัพธ์ในสิ่งที่เขาเลือกทั้งในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ โดยครั้งนี้เขายังต้องร่วมมือกับแฟนที่ห่างเหินกันไปอย่าง โฮป แวน ไดน์ (อีวานเจลีน ลิลลี่) ที่ตอนนี้สวมชุดเป็นฮีโร่สาวในนาม เดอะวอส์พ และพ่อของเธอหรือมนุษย์มดรุ่นแรก ดร. แฮงค์ พิม (ไมเคิล ดักลาส) ในภารกิจใหม่สุดเร่งด่วน เพื่อต่อกรกับวายร้ายพลังสุดเทพอย่าง โกสต์ (ฮันนาห์ จอห์น คาเมน) ที่มีพลังทะลุทุกสิ่ง กับวายร้ายเจ้าพ่อค้าอาวุธอย่าง ซอนนี่ เบิร์ช (วอลตัน ก็อกกินส์) ซึ่งอีกด้านเขากับโฮปก็ต้องตามหา เจเน็ต (มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์) แม่ของโฮปกลับมาจากมิติควอนตัมให้จงได้ สก็อตต์ต้องกลับมาสวมชุดใหม่อีกครั้ง และเรียนรู้ที่จะต่อสู้เป็นทีมไปพร้อมกับ เดอะ วอส์พ เพื่อหาคำตอบในอดีตของ เจเน็ต และ ดร. พิม ที่เป็นปริศนาสำหรับพวกเขา

จะว่าไปหนังมาร์เวลนั้น ถึงจะยืนเนื้อหาในความเป็นซูเปอร์ฮีโร่และพลังพิเศษต่าง ๆ แต่ถ้าลองจับสังเกตกันดี ๆ เราจะเห็นว่าฮีโร่แต่ละตัวต่างก็มีสูตรหรือแนวหนังที่ใช้ต่างกัน ทั้งนี้ต้องชื่นชม เควิน ไฟกี ประธานมาร์เวลและผู้ดูแลจักรวาลหนังมาร์เวลทั้งหลาย ที่ชาญฉลาดพอในการวางแพลนประสบการณ์ให้ผู้ชมได้รับรสที่หลากหลายตลอดเวลา

พูดอีกอย่างคือไม่ให้ผู้ชมที่ดูหนังมาร์เวลกันปีละ 1-3 เรื่อง ไม่เกิดอาการเลี่ยนหนังฮีโร่เกินไปนั่นเอง ดังนั้นเราจึงมีหนังก้าวพ้นวัยแบบปัญญาวัยรุ่นว้าวุ่นอย่าง สไปดี้ หนังดราม่าการเมืองอย่าง ซีวิลวอร์ และ แบล็กแพนเธอร์ หรืออย่าง แก๊งพิทักษ์อวกาศ ที่กลายเป็นหนังตลกแบบนอสตัลเจีย ส่วน ธอร์ ภาคล่าสุดก็อวตารตัวเองกลายเป็นหนังตลกติ๊งต๊องไปเรียบร้อย

และแน่นอนสำหรับ Ant-Man and the Waspที่ใช้ชื่อไทยได้ตร๊งตรงจนสิ้นคิดอย่าง แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ ถ้าจะให้พูดว่าเป็นหนังแนวไหน นี่คือหนังสไตล์รอมคอม หรือ โรแมนติกคอเมดี้ ที่ว่าด้วยพ่อหม้ายลูกติดที่พยายามคืนดีกับแฟนสาวคนใหม่ ที่ดันมีคุณพ่อสุดเฮี้ยบซึ่งดันเกลียดขี้หน้าเขาอยู่ด้วย เป็นโครงหลัก ส่วนพลังพิเศษต่าง ๆ มาเป็นเพียงน้ำจิ้มและอุปสรรคให้ความสัมพันธ์ของพระ-นาง ตลอดจนกับลูกสาวพระเอก และกับว่าที่พ่อตา เจริญงอกงามขึ้นเท่านั้นเอง

ดังนั้นใครชอบแนวหนังรักตลก ๆ ที่เดินเรื่องแบบซิทคอม เต็มไปด้วยสถานการณ์ชวนหัวปั่นและฮา นี่คือหนังซูเปอร์ที่เป็นคำตอบของคุณเลยครับ ส่วนแฟนมาร์เวลทั่วไปนี่อาจไม่ใช่หนังที่ตอบโจทย์ความเข้มข้น ไม่ได้มีฮีโร่ดัง ๆ ที่คุ้นเคยจากแก๊งอเวนเจอร์สมาแจม (เพราะช่วงเวลาเดียวกันนี้กำลังไฝว้กับพวกธานอสอยู่) แถมไม่ได้มีส่วนเชื่อมโยงสำคัญอะไรส่งผลกระทบยังหนังรวมพลอย่าง Avengers 4 ที่แว่ว ๆ ว่าอาจใช้ชื่อภาคว่า End Game ด้วย

ด้วยความที่เป็นหนังสแตนด์อะโลน ไม่ต้องไปเข้าใจหนังเรื่องอื่น ๆ ในจักรวาลมาร์เวลมาก จึงสามารถเริ่มต้นดูที่ภาคนี้ได้เข้าใจเลยเช่นกัน (เหมาะกับการพาแฟนสาวที่ชอบรอมคอมมาเริ่มติดหนังมาร์เวลมาก ๆ ฮะ) นี่จึงเป็นหนังที่ดึงทักษะออกมาได้สูงสุด สำหรับผู้กำกับผู้ช่ำชองกับแนวรอมคอม อย่าง เพย์ตัน รี้ด (Bring it on, Yes Man, The Break-Up) ซึ่งรับหน้าที่ตั้งแต่ภาคแรกได้อย่างดี

ด้านดาราก็ได้ทีมเดิมที่ตอนนี้รู้สึกว่าเคมีเข้าคู่ลงตัวกันมาก ๆ แล้ว ไม่ค่อยมีจุดขัดเขินแบบภาคแรก และที่สำคัญตัวละครฝั่งพระเอกแต่ละกลุ่มดูมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันที่น่าสนใจขึ้น อย่างเช่น หลุยส์ กับ ดร. พิม ที่เห็นอาการขยาดของ ดร. พิม ได้ชัดและสร้างสถานการณ์ตลกขบขันใหม่ ๆ ขึ้นได้อีก เป็นต้น
นอกจากนี้หนังยังมีดาราสมทบที่มากฝีมือมาแจมในภาคต่อนี้มากขึ้นด้วย ทั้ง มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ ในบทของ เจเน็ต หรือ เดอะวอส์พ รุ่นแรก และ ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์นในบทของ ดร. บิลล์ ฟอสเตอร์ หรือฉายา โกไลแอธ ฮีโร่ขยายร่างรุ่นแรก ซึ่งต่างก็เป็นดาราที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ และผ่านงานแสดงในหนังฮีโร่มาก่อนแล้วทั้งสิ้น ก็ทำให้หนังภาคนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในการปั้นแต่งตัวละครด้วย

ในขณะที่ฝ่ายเขียนบทก็ได้ดารานำอย่าง พอล รัดด์ ที่เคยร่วมเขียนบทในภาคแรกมาสานต่อบทบาทอีกในภาคนี้ โดยร่วมกับทีมเขียนบทจาก Spider-Man: Homecoming ซึ่งก็เหมาะเจาะอีกเช่นกันเพราะ หนังดึงความเป็นปุถุชนฮีโร่บ้าน ๆ ที่สัมผัสได้ อย่าง สก็อตต์ แลง พระเอกที่ถูกรัฐกักบริเวณเป็นเวลา 2 ปีจากการไปช่วยกัปตันอเมริกาในซีวิลวอร์

ทำให้เขาไม่สามารถออกนอกบริเวณบ้านตัวเองได้ ทุกครั้งที่ออกไป กำไรไฮเทคที่ข้อเท้าจะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่อย่าง มิสเตอร์วู (ในคอมมิคคือเอเจ้นท์ผู้รวมทีมเหล่าฮีโร่สายลับลอบเร้นด้วย) เข้ามาตรวจสอบ แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับแฟนและพ่อของเธอที่กำลังยั้วะเขาเต็มอัตราจากการเอาพลังไปใช้โดยไม่ปรึกษา

ทำให้เขาต้องรักษาสมดุลในการเป็นนักโทษที่ดีที่ใกล้วันได้รับอิสรภาพเพื่อจะได้เป็นพ่อที่ดีให้ลูก กับการเป็นแฟนที่ดีในภารกิจช่วยเหลือแม่ของแฟนในมิติควอนตัมกลับมา ซึ่งอันหลังก็วุ่นวายน่าดูเพราะนอกจาก พ่อค้าอาวุธที่พยายามจะแย่งพลังมดมาใช้แล้ว ยังมีศัตรูลึกลับที่มีพลังทะลุทุกสิ่งได้ไล่ล่าเพื่อแย่งชิงแล็บของ ดร. พิม ด้วย

ความพิเศษของหนังแอนท์แมนคือ การเล่าปัญหาของฮีโร่อย่าง สก็อตต์ แลงก์ ที่เอาจริง ๆ เขาก็คือคนธรรมดาที่ได้พลังจากอุปกรณ์ ไม่มีพลังเหนือมนุษย์ติดตัวแบบกัปตันอเมริกา หรือไม่มีปัญญามีความร่ำรวยล้นฟ้าแบบ โทนี่ คือถ้าไม่มีอุปกรณ์เขาก็สู้ใครแทบไม่ได้ เขาเป็นแค่คนที่ตกงานติดสถานะอาชญากรที่อยากกลับไปมีชีวิตปกติให้ลูกสาวของเขาได้ภูมิใจ

ปัญหาของแลงก์จึงเป็นปัญหาแบบมนุษย์ปุถุชนที่เราสัมผัสได้ง่าย เอาใจช่วยได้ง่าย ไม่ต้องไปผูกกับเหตุการณ์ระดับโลกแบบหนังมาร์เวลช่วงหลังเลย เพราะความเป็นดูหนังครอบครัวแบบนี้ก็ได้ใจคนดูทั่วไป และคนดูหน้าใหม่ได้ไม่ยากเย็น ยิ่งแอนท์แมนเป็นจำพวกฮีโร่ตกกระไดพลอยโจน และเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ก็ยิ่งเห็นอกเห็นใจเขาได้ง่าย

รีวิว Ant-Man and the Wasp


สถานการณ์ขัดแย้งกันเองเหล่านี้ จึงสร้างความขบขันได้มากมาย ซึ่งพัฒนาขึ้นมากจากภาคแรก เพราะในภาคแรกเป็นการใช้ตัวละครอย่างหลุยส์ในการเรียกเสียงฮาเสียมากกว่า แต่กับภาคนี้มันมีความตลกทั้งแบบเดิมและแบบที่คนทั่วไปอินได้ง่ายอย่างตลกสถานการณ์ เช่น การที่พระเอกต้องรีบกลับบ้านให้ทันก่อนเจ้าหน้าที่วูจะจับได้ว่าเขาแอบออกไปเป็นแอนท์แมน จนอาจทำให้ต้องติดคุกยาวต่อไป เป็นต้น ทำให้เว็บดูหนังกลายเป็นความบันเทิงที่ลงตัวมากขึ้น แม้หลาย ๆ ฉากอาจเรียกได้แค่เสียง หึหึ แต่กับบางฉากต้องบอกว่ากรามค้างจริง ๆ โดยเฉพาะฉาก แอนท์แมนแอ๊บแมน นี่ตลกมาก

และนี่คือหนังเรื่องที่ 20 ของจักรวาลหนังมาร์เวล ที่กลายเป็นหนังชุดซูเปอร์ฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคใหม่ไปเรียบร้อย และแม้จะเป็นหนังที่มาเข้าโรงหลังจาก Avengers: Infinity Wars (2018) ก็ตาม แต่น่าจะจัดเข้าชุดเฟส 3 เช่นเดียวกับ Captain America: Civil War (2016), Spider-Man: Homecoming (2017) และ Black Panther (2018) เสียมากกว่า

เพราะหนังเล่าช่วงเวลาระหว่างผลกระทบจากเหตุการณ์กระทบกระทั่งแตกหักระหว่างกัปตันอเมริกา และไอออนแมน ยาวมาถึงก่อนช่วงการบุกโลกของธานอสในอินฟินิตี้วอร์ เป็นสำคัญ ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้สร้างผลกระทบกับหนังเรื่องอื่นไม่มากนัก แต่ช่วงท้ายหรือตอนจบของหนังก็ได้ทิ้งก้อนปริศนาสำคัญที่น่าจะส่งผลเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ต่อหนังแอนท์แมน หรือแม้แต่จักรวาลมาร์เวลในอนาคตก็เป็นได้ ถ้าสิ่งที่ผมมโนอยู่เกิดขึ้นจริงว่าแอนท์แมนจะได้รับพลังใหม่ กลืนกับอีกตัวละครสำคัญในจักรวาลคอมมิค

ข้อเสีย

ส่วนข้อเสียก็คงเป็นฟอร์มที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ระดับโลกหรือระดับจักรวาลอย่างที่ จักรวาลมาร์เวลกำลังพาพีคขึ้นไป แต่ข้อดีในนั้นคือเราได้พักหัวได้บันเทิงแบบบ้าน ๆ บ้าง ส่วนข้อเสียใหญ่ ๆ ที่เห็นอีกประการคือความสมเหตุสมผล ซึ่งเราคงหาในหนังแนวตลกได้ยาก เอาเป็นว่าแค่ตัวอย่างง่าย ๆ ในหนังคือ พวกพระเอกอยู่ระหว่างหลบซ่อนตัวจากรัฐบาล

แต่พี่แกขยายตึกย่อตึกกลางเมืองกันเป็นว่าเล่น หรือการที่เกิดเรื่องวุ่นขนาดนั้น กลับไม่มีแม้แต่นักข่าวจอมจุ้นเข้ามารังควานชีวิตพวกเหล่าตัวเอกเลย นี่ก็นับว่าประหลาดมากทีเดียว แต่ก็นะเราไม่ได้ดูหนังมาร์เวลเพื่อถกสูตรของทฤษฎีฟิสิกส์ควอนตัมอยู่แล้ว จะไปแคร์อะไรมากมายล่ะ

สรุป

ในเวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงที่คุณได้ดูเรื่องนี้ คุณจะได้รับความ “บันเทิง” ไปเต็มๆ เหมือนดูหนังตลก รอมคอม ครอบครัวที่มีธีมเป็นซูเปอร์ฮีโร่ยังไงยังงั้น ที่ถึงแม้ว่าหนังจะเป็นมนุษย์มดขนาดจิ๋ว แต่ก็แบกความสนุกมาเท่าตัวเลยที่เดียว
ปล.หนังมีฉากหลังเครดิตจบ 2 ฉาก อันแรกนี่ต้องดูเลยเพราะทิ้งปมใหญ่มาก ๆ ไว้ด้วย ส่วนฉากที่ 2 เป็นกิมมิกขำ ๆ ถ้าปวดฉี่รีบกลับบ้านก็ไม่ต้องรอดูหรอก

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

AXL

หนัง HD

รีวิว AXL - แอคเซล : โคตรหมาเหล็ก

ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟสะท้อนมุมมองสุนัขจักรกล ที่ไม่มีชีวิตแต่เขามีหัวใจ “A-X-L แอคเซล โคตรหมาเหล็ก” อำนวยการสร้างโดยเดวิด เอส โกเยอร์ ร่วมกับทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ตระการตา Avengers: Infinity War เนื้อเรื่องบอกเล่าถึง หนุ่มวัยรุ่นที่รักการซิ่งวิบากเป็นชีวิตจิตใจ และเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้เขาต้องเจอกับ A-X-L สุนัขสงครามสุดล้ำที่หลุดออกมา และเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพในครั้งนี้ รีวิว AXL

เรื่องย่อ

เพื่อนรู้ใจสี่ขาของมนุษย์กำลังมีการพัฒนาไปอีกระดับ “แอคเซล” ยุทโธปกรณ์ทางการทหารล่าสุดที่มีลักษณะคล้ายกับสุนัข มันคือเครื่องจักรสังหารประสิทธิภาพสูง เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธสังหารและความสามารถในการเคลื่อนที่อันฉับไว รวมถึงปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัย แต่ชะตากรรมของเครื่องจักรสังหารตัวนี้ก็ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อมันได้พบกับ ไมลส์ (อเล็กซ์ นิวสแตเทอร์) เด็กหนุ่มผู้ชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซด์ผาดโผน ผู้กลายเป็นทั้งเพื่อนและเจ้าของ แต่นักวิทยาศาสตร์ที่สร้างแอคเซลต้องการนำตัวมันกลับมา ไมลส์จึงต้องร่วมมือกับ ซาร่า (เบ็คกี้ จี) เพื่อนสาวสุดเปรื่อง เพื่อปกป้องไม่ให้เพื่อนซี้สี่ขาตัวใหม่ของเขาต้องกลายเป็นเครื่องจักรสงคราม

จากทีเซอร์แล้วไม่ได้คาดหวังอะไรจากหนังไซไฟเรื่องนี้มากนัก และแอบจะเป็นห่วงว่าจะพังพินาศเหมือนหนังไซไฟความสัมพันธ์ข้ามภพข้ามชาติ ข้ามสายพันธุ์ บางเรื่องหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม ความที่มันเป็นหมาเหล็กมานำเสนอ ก็ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อย ๆ ซึ่งเมื่อมาสัมผัสแล้วถือว่าเซอร์ไพรส์เกินคาดไปเหมือนกัน

ไทม์ไลน์ของหนังพูดถึงอนาคตที่ โลกมีวิวัฒนาการกว้างไกล มนุษย์คิดค้นและพัฒนาหุ่นยนต์สุนัขสายพันธุ์ใหม่ แอคเซล (AXL) สำหรับใช้งานในกองทัพ โดยมีพื้นฐานมาจากความที่มันเป็นสัตว์ที่ได้รับการขนานนามว่าซื่อสัตย์ที่สุดและจงรักภักดีกับมนุษย์ กลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ครบเครื่องด้วยความไฮเทค มีทั้งปืนกล เรดาร์จับศัตรู วิ่งเร็วกว่าสุนัขทั่วไป 10 เท่า แถมยังมีการยืนยันตัวตนจับคู่กับเจ้าของด้วยระบบสแกนหน้า สแกนนิ้ว

อย่างไรก็ตาม แอคเซล คือหุ่นยนต์สุนัขที่ถูกกองทัพประเมินว่าเป็นการทดลองที่ผิดพลาด แอคเซลจึงถูกนำมาทิ้งร้างไว้กลางทะเลทราย ซึ่งที่ ‘ ไมล์’ (อเล็กซ์ นิวสแตเทอร์) หนุ่มน้อยสิงมอเตอร์ไซค์วิบาก บังเอิญมาพบ แอคเซล ด้วยเหตุไม่คาดฝัน และเมื่อเขาได้เข้าไปสัมผัสและผูกพัน ช่วยซ่อมแซมจนมันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าหุ่นยนต์สุนัขตัวนี้ถูกจับตามองจากใครคนนึงที่ไกลออกไปเช่นกัน

A-X-L อาศัยการเดินเรื่องที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน พลอตเรื่องเดินตามสูตรสำเร็จหนังไซไฟวัยรุ่นฟีลกู้ดฝั่งมะกัน 20-30 ปี ซึ่งบางคนอาจบอกเชยระเบิดนาปาล์มไปหน่อย แต่หนังก็ดูได้สนุกดูเพลินดี เจ้าแอคเซลเองก็โชว์ความล้ำได้ไม่ขี้เหร่ แถมภาคซีจีที่ทำได้แนบเนียนกว่าที่คาด คาแรคเตอร์พระนางชัด โดยเฉพาะ เบ็คกี้ จี ในบทบาทของ ซารา ที่ทำเอาแอบนึกถึงสาวห้าว เลตตี้ ในเวอร์ชันเด็กสาวแรกรุ่นที่มีเสน่ห์แววตาเหลือล้น ถึงภาพรวมอาจจะยังเล่นแข็งไปบ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือสีสันท่ามกลางตัวละครจืด ๆ ส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้

จุดที่แอบเสียดายในหนังเรื่องนี้คือ บทบาทของเจ้าหมาไฮเทคนี่แหละ ที่หนังน่าจะปล่อยของมากกว่านี้ รู้สึกว่าเมื่อถึงจุดสำคัญของหนังมันยังไม่เทพมากพอ จุดตัดที่หนังสร้างอารมณ์บีบคั้นระหว่าง ไมลส์ กับ แอคเซล ยังเบาบางเกินไป เลยไม่ค่อยอินเท่าที่ควร ทั้งที่ปูความสัมพันธ์ไว้ดีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามยังหาทางลงที่ยังรู้สึกฟีลกู้ดได้อยู่ในช่วงท้าย

5 เหตุผลที่คอหนังไม่ควรพลาด A-X-L

1. ค่ายหนังที่ปั้นหนังแฟรนไชส์ฮอตฮิตติดลมบนมาแล้ว
นี่คือผลงานล่าสุดจากค่าย Lakeshore Entertainment สตูดิโอเจ้าของผลงานแฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง Underworld ที่ได้รับความนิยมจนสร้างกันมาถึง 5 ภาค, หนัง Crank ที่สร้างชื่อ เจสัน สเตแธม (Jason Statham) จนกลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบัน
และยังรวมถึงหนังออสการ์น้ำดีอย่าง Million Dollar Baby ที่ส่งชื่อให้นักแสดงอย่าง ฮิลลารี สแวงก์ (Hilary Swank) คว้ารางวัลนำหญิงยอดเยี่ยมในปีนั้นไปครอง
แน่นอนว่าการที่ค่าย Lakeshore เลือกที่จะอำนวยการสร้างให้กับ A-X-L แอคเซล โคตรหมาเหล็ก เพราะพวกเขาเล็งเห็นที่จะปั้นมันขึ้นมาให้เป็นหนังคุณภาพไม่ต่างจากผลงานเรื่องก่อน ๆ

2. มือเขียนบทระดับและผู้อำนวยการสร้างหนังระดับพระกาฬ
เดวิด เอส โกเยอร์ (David S. Goyer) คือชื่อที่นักดูหนังหลายคนต้องคุ้นหู เพราะเขาคือมือเขียนบทและอำนวยการสร้างหนัง The Dark Knight ทั้ง 3 ภาคของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่ยังคงเป็นหนึ่งในหนังฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดจวบจนปัจจุบัน รวมไปถึง Man of Steel และ Batman v Superman: Dawn of Justice ที่เขาสามารถชุบชีวิตให้ตัวละคร ซูเปอร์แมน กลับมาเป็นที่เชื่อมั่นแก่แฟน ๆ ได้อีกครั้ง

3. Legacy Effects จัดเต็มสเปเชียลเอฟเฟกต์ให้หนังสมบูรณ์แบบ
บริษัท สเปเชียล เอฟเฟกต์ ชื่อดังผู้อยู่เบื้องหลังผลงานอย่าง Captain America: Civil War, หนัง Pacific Rim: Uprising และรวมไปถึงหนัง Avengers: Infinity War ภาคล่าสุด ซึ่งหนัง HDนี่คือเครื่องการันตีแล้วว่าสเปเชียลเอฟเฟกต์ในหนัง A-X-L แอคเซล โคตรหมาเหล็ก จะไม่ได้เป็นเพียงหมาน้อยต๊อกต๋อย แต่มันจะออกมาบู๊แหลก พร้อมฉากแอคชั่นสุดล้ำที่ไม่แพ้ผลงานก่อน ๆ แน่นอน

รีวิว AXL


4. เบ็กกี จี นักแสดงและศิลปินสาวที่หลายคนจับตามองในเวลานี้
นี่คือผลงานล่าสุดของนักแสดงสาวและนักร้องป๊อปสตาร์ดาวรุ่ง เบ็กกี จี (Becky G) ผู้เคยรับบทเป็นเยลโลว์ เรนเจอร์ ในหนัง Power Rangers ภาคล่าสุด รวมไปถึงผลงานเพลงชื่อดังมากมาย ซึ่งเธอจะมาโปรยเสน่ห์ให้แก่คุณผู้ชมใน A-X-L อย่างไม่น้อยหน้าผลงานก่อน ๆ แน่นอน
5. ต่อยอดมาจากหนังสั้น Miles

รู้หรือไม่ A-X-L แอคเซล โคตรหมาเหล็ก คือดูหนังผ่านเน็ตที่ต่อยอดมาจากหนังสั้นในชื่อ Miles (2015) ซึ่งทาง เดวิด เอส. โกเยอร์ ได้ไปรับชมพร้อมชื่นชอบในตัวหนังสั้นเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงออกตัวเป็นโปรดิวเซอร์จนได้มาเฉิดฉายเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวในที่สุด โดยเรื่องราวและความยอดเยี่ยมของมันนั้นแน่นอนว่าจะไม่น้อยหน้าในฉบับหนังสั้นเลยทีเดียว เพราะทั้ง 2 เวอร์ชั่นล้วนแล้วกำกับโดย โอลิเวอร์ ดาลี (Oliver Daly) เจ้าของความคิดโคตรหมาเหล็กตัวนี้

สรุป

 
AXL แอคแซล โคตรหมาเหล็ก อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุด และอาจจะดูด้อยเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับหนังฟอร์มใหญ่ทั่วๆ ไปที่ออกมาในช่วงนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ AXL แอคแซล โคตรหมาเหล็ก นั้นดูโดดเด่นขึ้นมาได้ น่าจะเป็นว่าการนำเสนอเทคโนโลยีทางการทหารออกมาให้กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น
 
ซึ่งมันอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกทึ่งในวัตกรรมเครื่องจักรสังหารตัวใหม่ ที่มีโปรแกรมการเรียนรู้ในส่วนของมโนธรรมอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ดี เราคิดว่า AXL แอคแซล โคตรหมาเหล็ก ยังสื่ออารมณ์ของเรื่องออกมายังไม่ดีพอ เหมือนไปไม่สุดสักด้าน มันเลยดูครึ่งๆ กลางๆ ราวกับว่าจะกั๊กเรื่องบางส่วนเอาไว้ทำหนังภาคต่อในอนาคตนั่นเอง

Khun Phan 2

หนัง HD

รีวิว Khun Phan 2 - ขุนพันธ์ 2

เมื่อปี 2016 ได้มีหนังแอ็คชั่นแฟนตาซี กับหนังเรื่องขุนพันธ์ ที่นับว่าเป็นปรากฏการณ์ เพราะเราไม่ได้เห็นหนังแนวนี้ในยุคหลังของวงการหนังไทยสักเท่าไหร่ ถึงแม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อาจจะผสมปะปนกันไป หนังสนุกแต่บทเละเทะ สะเปะสะปะ ตัดต่องงๆ และข้อผิดพลาดในฉากอีกมากมาย ส่วนข้อดีและจุดแข็งของภาคแรกก็คือคาแรคเตอร์ตัวละคร ทั้งขุนพันธ์ และอัลฮาวียะลู ที่พี่น้อย แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงแม้จะไม่ได้ดีมากแต่มันก็ส่งผลให้มีภาคต่อในปีนี้ขึ้นมา รีวิว Khun Phan 2

เรื่องย่อ

ความดีจะกลับตาลปัตร ขุนพันธ์จะถือคำสัตย์ข้างโจร ในยุคที่กฎหมายอ่อนแอ คนชั่วครองเมือง ความยุติธรรมเป็นเพียงคำพูด ทุกพื้นที่ภาคกลางถูกครอบครองด้วยอิทธิพลแห่งเสือฝ้ายและเสือใบที่ลือกันว่า ทั้งแกร่ง ทั้งเดือด และอาคมแรงกล้าที่สุดจนไม่เคยมี “ตำรวจ” คนไหนเฉียดใกล้แม้แต่ปลายเล็บ ขณะนั้น “ขุนพันธ์” (อนันดา เอเวอริงแฮม) หมดศรัทธาในกฎหมายและถูกบีบจากทางราชการ คงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะกับเขาเท่าการเป็นหนึ่งในโจรเชิ้ตดำของ “เสือฝ้าย” (ผู้พันเบิร์ด-พันเอก วันชนะ สวัสดี) และ “เสือใบ” (เป้-อารกษ์ อมรศุภศิริ) ขีดสุดแห่งพลังอาคมจะถูกท้าทาย เสือร้ายจะปล้นไม่เลือกหน้า ศรัทธาจะล้มหาย ความดีจะกลับตาลปัตร ขุนพันธ์จะถือคำสัตย์ข้างโจร เสือ 3 ตัวจะท่องอาคมเดียวกัน ดวลด้วยเวทย์ สยบด้วยคาถา ล่าหัวกันด้วยอาคม

เมื่อกฎหมายที่ตนเองศรัทธาเล่นงานจนถูกพักราชการ ขุนพันธรักษ์ราชเดช (อนันดา เอเวอริงแฮม) จึงตัดสินใจเล่นนอกกฎด้วยการแทรกซึมเข้าไปอยู่ในกลุ่มโจรเชิ้ตดำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสุพรรณบุรีนำโดย เสือฝ้าย (พ.อ. วันชนะ สวัสดี) และเสือไบ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) จนอุดมการณ์ตำรวจถูกสั่นคลอนด้วยคำสัตย์ของโจร

และขณะเดียวกันทางการตำรวจก็ส่ง อัศวิน (นันทวุฒิ บุญรับทรัพย์) นายตำรวจหนุ่มนักเรียนนอกไฟแรงมาประจำที่สุพรรณบุรีเพื่อปราบปรามเหล่าโจรเรียกศรัทธาจากประชาชน และยิ่งขุนพันธ์อยู่กับโจรนานเท่าไหร่เบื้องหลังสกปรกในวงการตำรวจก็ยิ่งถูกขุดขึ้นมาจนสุดท้ายขุนพันธ์ต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างโจรที่เป็นดั่งวีรบุรุษหรือเข้าข้างตำรวจที่เลวยิ่งกว่าอาชญากร

หลังห่างหายไป 2 ปีในที่สุด ก้องเกียรติ โขมศิริ  ก็ได้ฤกษ์นำขุนพันธ์ ๒ ออกฉาย แม้ว่าเสียงวิจารณ์ของภาคแรกจะออกมาแบบก้ำกึ่ง คือเสียงส่วนใหญ่ก็บอกว่าหนังสนุกดีแต่บทหนังดูจะมั่วซั่วมากและซีจีเข้าขั้นโคม่า แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าการแสดงและการดีไซน์คาแรกเตอร์ตัวละครที่โดดเด่นคือจุดแข็งสำคัญของหนังภาคแรก
 
ซึ่งก็น่าดีใจที่ ก้องเกียรติ ยังคงสานต่อจุดดีของหนังภาคแรก แถมยังกลับมาเล่นใหญ่กว่าเดิมเพราะต้องเล่าเรื่องราวของตัวละครใหม่ที่มีเรื่องราวของตัวเองทั้ง เสือฝ้าย และ เสือไบ ที่ออกแบบมาอย่างเท่จนผู้พันเบิร์ดและเป้ อารักษ์ ได้ควงปืนเล่นฉากแอ็คชั่นสุดเว่อร์วังได้ระดับน้องๆหนังฮีโร่มาร์เวลเลย
 
แถมพัฒนางานเทคนิคด้านภาพให้สมศักดิ์ศรีหนังเกี่ยวกับอาคม แนบเนียนขึ่้นเยอะ และบทหนังยังสร้างประเด็นที่น่าสนใจทั้งเรื่องของคำสัตย์สาบานในหมู่โจร และการต่อสู้ในใจของขุนพันธ์เองว่าเขายังคงเป็นตำรวจหรือไม่สร้างความเข้นข้นให้เรื่องราวน่าสนใจอยู่ตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง
 
นอกจากนี้หนังยังดีไซน์ตัวละครแวดล้อมได้น่าสนใจดีท้้ง อัศวิน นายตำรวจที่ถูกไฟคลอกจนต้องแปลงร่างเป็น เรด สกัล เอ้ย..เป็นมนุษย์หน้ากากดูน่าขนลุกอย่างกับผู้ร้ายหลุดมาจากหนังฮีโร่มาร์เวล หรือจะเป็นบรรดาตัวละครสาวๆทั้ง บุศรา (ก้อย รัชวินทร์ วงศิวิริยะ) มาเฟียสาวเจ้าของบาร์เหล้าเขตปลอดกฎหมายก็ให้อารมณ์นางนกต่อทรงเสน่ห์สุดอันตราย และ ทับทิม (อาภา ภาวิไล) คนรักของเสื้อไบที่มีปูมหลังแสนเศร้า
 
ก็สร้างสีสันได้เป็นอย่างดีจนทำให้ขุนพันธ์ ๒ กลายเป็นหนังที่อุดมด้วยตัวละครที่ถูกออกแบบมาอย่างน่าสนใจมากมายเดินไปเดินมาในเรื่อง แม้ว่าท้ายที่สุดจะกลายเป็นภาระที่บทหนัง HDยังคงไม่สามารถเล่าเรื่องได้ลงตัวเท่าใดนักแต่อย่างน้อยคราวนี้ก้องเกียรติก็ไม่ได้ให้เราเสียเวลาดูฉาก เซนๆ อย่าง “ศึกนี้อยู่ที่ใจ” อันเป็นของแสลงจากหนังภาคแรกแล้ว
 

จุดเด่น

จุดที่ยังคงผิดพลาดอย่างน่าเสียดายเช่นเดิมคงหนีไม่พ้นว่า ผ่านมาภาค 2 แล้วเราก็ยังไม่ได้รู้จัก ขุนพันธ์ ดีขึ้นกว่าเดิมนัก เพราะแม้ว่าประวัติของท่านจะแพร่หลายแต่ในเชิงสื่อภาพยนตร์เราก็อยากรู้จักตัวละครนี้มากกว่าแค่สถานะ ตำรวจผู้แก่กล้าอาคม โดยมียังมีจุดที่หนังละเลยที่จะสำรวจทั้งทัศนคติของตนต่อกฎหมายในมือมาเฟีย หรือแม้กระทั่งเว็บสตรีมหนังว่าอะไรที่หล่อหลอมให้ท่านมาสนใจเรื่องวิชาอาคมก็จะมีส่วนช่วยให้เรารู้จักตัวละครและอยากลุ้นกับภารกิจต่างๆมากขึ้น แต่กลับไปเล่าเรื่องราวของเสือไบเป็นตุเป็นตะจนเรารู้จักเรื่องราวของมหาโจรมากกว่าตัวพระเอกเองเสียอีก

รีวิว Khun Phan 2

วิจาร์ณ

โดยส่วนตัวแล้วไม่ประทับใจกับภาคแรกเสียเท่าไหร่ (ผิดหวังด้วยซ้ำ) แต่พอมีข่าวว่าจะทำภาคสอง ต่อมความอยากดูในตัวผมมันก็ลุกโชนขึ้นมา พร้อมกับกระแสตอบรับคนดูที่ให้ความสนใจอย่างน่าเหลือเชื่อ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ยุคหลังๆ หนังไทยก็มีแต่แบบเดิมๆ รักๆ ใคร่ๆ จนเราเริ่มเบื่อกับมัน พอมีแนวนี้ออกมา ย่อมเป็นธรรมดีที่เราจะตื่นเต้นกับมัน บวกกับนักแสดงที่เรียกคนดูได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

โดยเนื้อเรื่องในภาคนี้เป็นการเล่าถึงการปราบปรามเสือเมืองสุพรรณของขุนพันธ์ โดยจับประเด็นของเสือฝ้าย และเสือใบ ที่ยังคงการเล่าเรื่องสไตล์คาวบอยผสมความเป็นไทยด้วยคาถาอาคม เรื่องราวยังคงอิงเอามาจากประวัติศาสตร์และแต่งเติมอีกนิดหน่อยเพื่อความบันเทิงให้กับหนัง

ภาคนี้เหมือนเป็นการ กลบจุดด้อย ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภาคแรกทั้งเรื่องความผิดพลาดในบางฉาก, เรื่องการตัดต่อ และบท ภาคนี้ใส่ใจรายละเอียดในจุดเล็กจุดน้อยมากขึ้นกว่าเดิม บทที่ดูกลมกล่อมลงตัวมากขึ้น การตัดต่อที่ดูไม่เละเทะสะเปะสะปะเหมือนภาคแรก แถมในภาคนี้ยังมีประเด็นการเมือง คุณงามความดี ประเด็นกรโกงกิน การเอาเปรียบ อำนาจของเงินตรา ให้ขบคิดในหลายๆ ฉาก ซึ่งมันทำให้หนังมีมิติขึ้นเยอะกว่าภาคแรกพอสมควร และ สานต่อจุดดี ด้านคาแรคเตอร์ตัวละคร ที่ยังคงความเอกลักษณ์ชัดเจนในแต่ละตัวละคร

ตัวบท

เริ่มจากบทขุนพันธ์เหมือนตีบวกความเท่ห์ขึ้นไปอีกขั้น ดูสุขุม ดูมีมาด และเท่ห์โคตรๆ แทบทุกอริยาบทของขุนพันธ์ อนันดาได้ถ่ายทอดความเท่ห์ออกมาได้ตลอดทั้งเรื่องเลยจริงๆ

และอีกสองตัวละครที่สุดยอดไม่แพ้กันนั่นคือเสือฝ้าย ที่รับบทโดยผู้พันเบิร์ด แค่ยืนนิ่งๆ ก็เห็นถึงรัศมีความน่าเกรงขาม และนึกไม่ออกจริงๆ ถ้าไม่ใช่เขา ใครจะมารับบทได้เหมาะสมเท่านี้อีกแล้ว เห็นแล้วนึกถึงและให้อารมณ์คล้ายๆ กับ God Father เลยจริงๆ

ส่วนคนสุดท้ายคือ เสือใบ โดยในตอนแรกเราคิดว่ายังไง๊ยังไง เป้ ก็ไม่เหมาะสมกับบทนี้ ทำไมต้องเป้ด้วยว๊า คนอื่นก็มีอีกตั้งเยอะตั้งแต่ แต่พบดูจบปั๊บ...อยากตบปากตัวเองสัก 300 ทีแล้วถ่ายคลิปส่งให้ดู! “เป้เล่นโคตรดี” คือเล่นดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ไม่น่าเชื่อว่าเป้จะทำได้ขนาดนี้ แย่งซีนอนันดาเลยก็ว่าได้

ฉากการเปิดตัวของทุกตัวละคร ทำออกมาได้เท่ห์ น่าสนใจ และบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ชัดเจน ทางด้านตัวละครรองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใครเลย เริ่มจากนันทวุฒิ ที่รับบทอัศวิน ที่เล่นได้พอสูสีปะทะฝีมือกับทั้งสามได้ไม่เลวเลย รวมไปถึงก้อย รัชวิน ที่ดูมีสเน่ห์ น่าดึงดูด น่าค้นหามากกกกกกกก

แต่สิ่งที่เป็นปัญหาของหนังเรื่องนี้เลยอย่างแรก รู้สึกขัดใจกับมุมกล้องของภาคนี้พอสมควร ในหลายๆ ฉาก ที่เราคิดในใจว่า มุมกล้องมันน่าจะส่งอารมณ์ได้มากกว่านี้นา อีกทั้งฉากบางฉากที่ใส่มาอย่างไม่จำเป็น และเหมือนภาคนี้จะออกแบบฉากแอ็คชั่น ฉากต่อสู้ ได้ไม่ดีเท่าภาคแรก ถึงแม้ภาพรวมในภาคนี้มันจะดีกว่า แต่เราเอ็นจอยและสนุกกับฉากแอ็คชั่นในภาคแรกมากกว่า กับเรื่องการแบ่งบทตัวละครที่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้อย่าง แม็กกี้ อาภา ส่วนเรื่องที่น่าเสียดาย ก็คงจะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการเล่า พาให้เราไปรู้จักกับเหล่าเสือสักเท่าไหร่ (ถึงแม้หนังจะยาว 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว)

สรุป

โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ ประเด็นเรื่องความดีกับสังคมเทาๆ ปกครองด้วยคนมีอำนาจเท่านั้น ที่หนังต้องการจะใส่ลงไป ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเราเองและสังคม เรื่องคุณงามความดี ทำให้เรามองขุนพันธ์เหมือนเป็นตัวของฮีโร่ที่ลุกมาต่อต้านกับระบบ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าใครสักคนต้องทำอะไรบางอย่าง

ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านต้องพิสูจน์ในโรงภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ก็จะตอบได้ว่ามันดีไม่ดียังไง แต่ผมอยากให้สนับสนุนหนังไทย อยากให้มีผลงานแบบนี้ต่อๆ ไป อยากเห็นวงการหนังไทยเติบโตไปมากกว่านี้ และเติบโตไปเรื่อยๆ อยากเห็นหนังแนวอื่นๆ นอกเหนือจากรอม-คอม ดราม่า ที่มีอยู่เกลื่อนไปหมดในปัจจุบัน และแน่นอนมีเอ็นเครดิตด้วยนะจ๊ะ

Along With The Gods : The Last 49 Days

ดูหนัง HD

รีวิว Along With The Gods : The Last 49 Days

ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า 2

เรื่องย่อ

ภาคต่อนี้ทั้งสามเทพผู้พิทักษ์อย่าง ผู้นำทีมเทพผู้พิทักษ์ “ยมทูตคังลิม” (ฮา จุงวู), เทพนักต่อสู้ฝีมือโคตรแกร่ง “ยมทูตเฮวอนเมก” (จู จีฮุน) และเทพแห่งมันสมอง “ยมทูตดัคชุน” (คิม ฮยางกี) เตรียมกลับมาด้วยภารกิจที่ต้องผจญภัยฝ่าแดนปรโลกทั้งเจ็ดสู่การพิพากษาครั้งที่ 49 เพื่อส่งดวงวิญญาณของตนเองและ “คิม ซูฮง” (คิม ดองวุก) วิญญาณอาฆาตน้องชายของคิม จาฮง ผ่านด่านพิพากษาจาก “ราชันย์ยอมรา” (อี จุงแจ) เทพแห่งนรก เพื่อพิสูจน์ตัวตนให้กลับมาเกิดใหม่ให้สำเร็จ แต่ในเวลาเดียวกันความทรงจำอันเจ็บปวดของเทพผู้พิทักษ์ทั้งสามเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์เริ่มกลับคืนมาจากฝีมือของ “เทพประจำตระกูล” (มา ดงซอก) ที่อยู่บนโลก รีวิว Along With The Gods

เหตุการณ์ต่อเนื่องหลัง 3 ยมทูต คังลิม (ฮาจุงวู) เฮวอนเมก (จูจีฮุน) ดัคชุน (คิมฮยางกี) ตัดสินใจเดิมพันโอกาสเกิดใหม่ด้วยการพา คิมซูฮง (คิมดองวุก) วิญญาณอาฆาต (น้องชายคิมจาฮง ที่ได้ไปเกิดแล้ว) ฝ่าการพิพากษาของศาลนรกชั้นต่างๆเพื่อการเกิดใหม่ โดยทางราชันย์ยอมรา (อีจุงแจ) ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมให้ เฮวอนเมก กับ ดัคชุน ไปนำดวงวิญญานคนชราที่มีชีวิตเลยกำหนดเวลามาสู่การตัดสิน

แต่นอกจากการมีหลานชายตัวน้อยที่ยังไม่พร้อมเผชิญโลกเพียงลำพังของดวงวิญญาที่สร้างความหนักใจแล้ว ยังมีเทพประจำตระกูล (มา ดงซอก)ที่ไม่ยอมปล่อยดวงวิญญาณ และยังเป็นผู้กุมความลับตอนเป็นมนุษย์ของ 3 ยมทูตที่อาจพลิกผันชะตาชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล

แม้หนังภาคแรกจะเป็นที่ถกเถียงกันทั้งประเด็นชื่อไทยว่า ฝ่า 7 นรก แต่ไปดูจริงๆกลับไม่ถึง 7 ขุมเหมือนชื่อเรื่อง หรือจะเป็นกระแสคนดูที่อัดคลิปตัวเองร้องไห้ให้ฉากจบในหนังก็ตาม แต่ด้วยความสำเร็จและความชื่นชอบของคนดู ตัวหนังภาคสองเลยเข้าฉายแบบทันใจในวันนี้ ซึ่งจะว่าไปความลับของยมทูตที่หนังพยายามชูเป็นประเด็นสำคัญก็ดูน่าสนใจไม่น้อย ติดตรงที่เส้นเรื่องของหนังเองดันมีหลายเหตุการณ์ที่เดินขนานกันไปแล้วดันแย่งความเด่นกันเองได้แก่ 

เส้นเรื่องพาคิมซูฮงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในส่วนนี้จะมีทั้งเหตุการณ์ย้อนอดีตในคืนเกิดเหตุปืนลั่นในหนังภาคแรก พร้อมการนำดวงจิตคนเป็นได้แก่เพื่อนทหารทั้งสองของเขามาพิจารณาคดีด้วย 
และไม่รู้ว่าเพราะกลัวเรื่องจะเรียบเกินไปหรืออย่างไร ในส่วนนี้ได้มีภาพย้อนอดีตของ ยมทูตคังลิม เมื่อครั้งเป็นมนุษย์เพื่อเล่าถึงบาปกรรมของตนเข้ามาด้วย จนผลลัพธ์คือการเล่าเหตุการณ์ที่ซับซ้อน 2 เหตุการณ์สลับกัน และกินเวลานานพอสมควร จนเชื่อว่าลำพังเรื่องราวในส่วนแรกก็แทบแยกเป็นหนังอีกเรื่องได้อยู่แล้ว

ในส่วนถัดมาคือ เหตุการณ์ที่ เฮวอนเมก และ ดัคชุน ได้รับภารกิจไปพาดวงวิญญาณคนชราที่อยู่เกินอายุขัย มาสู่การพิจารณาในนรก แต่ถูกขัดขวางจาก เทพประจำบ้านจนไปๆมาๆพวกเขาต้องหาทางช่วยเหลือ หลานชาย ให้ได้รับการดูแลอย่างดี ก่อนพาดวงวิญญาณปู่เพียงคนเดียวไปสู่ปรโลก 

โดยเหตุการณ์นี้จะตัดสลับกับเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ของทั้ง ดัคชุน และ เฮวอนเมก ที่มีทั้งความผิดบาปและความกล้าหาญของทั้งคู่ ซึ่งความซับซ้อนก็ไม่แพ้เรื่องราวในส่วนแรกเลย

หากมองในแง่ดีเรื่องราวใน Along With The Gods ภาคนี้ก็ทำให้เรื่องราวที่มาที่ไปของยมทูตกระจ่างดี ถ้าไม่ติดว่า มันแทบไม่ได้เสริมส่งกับเรื่องราวในเส้นเรื่องหลัก เลยทำให้คนดูที่กำลังติดตามชะตาชีวิตของ คิมซูฮง ที่อุตสาห์ลากมาจากภาคแรกเกิดอาการเซ็งได้ว่า ท้ายที่สุดเรื่องราวการพิพากษากลับแทบไม่ได้คืบหน้าไปกว่าคืนเกิดเหตุแถมการพิจารณาคดีก็ดูรวบรัดเพราะต้องแบ่งเวลาไปเล่าเรื่องอดีตชาติของยมทูตทั้งสามที่ยิ่งดูยิ่งไม่น่าสนใจชวนลำใยซะเปล่าๆ 

ส่วนเรื่องราวปู่ที่ใกล้ตาย กับหลานชายที่ไร้เดียงสา ที่หนังกะให้ซึ้งแบบเรื่องราวแม่ของ 2 ดวงวิญญาณในภาคแรกก็ต้องถูกแบ่งเวลาไปเล่าอดีตชาติของ 2 ยมทูตจนปมดราม่าต่างๆไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็นจนน่าเสียดาย

วิจาร์ณ

หนังในองก์แรกพาเราไปรู้จักโลกความตายของจักรวาลหนังเรื่องนี้ (เพราะทราบข่าวมาว่ากำลังจะมีภาคที่ 3 และ4 ตามมา) ซึ่งภาพนรกในหัวของผู้กำกับ คิมยงฮวา นั้นเชื่อว่าเมื่อใครสิ้นอายุขัย วิญญาณของคนๆ นั้นจะมีเวลา 49 วัน เพื่อเดินทางไปยังนรกทั้ง 7 ขุม เพื่อรับการตัดสินโทษ (นรกของคนหลอกลวง นรกของคนเกียจคร้าน นรกของความอยุติธรรม นรกของคนทรยศ นรกบาปฆาตกรรม นรกแห่งความรุนแรง และนรกของผู้อกตัญญู) โดยมีตัวละครหลักเป็นนักดับเพลิงที่เสียชีวิตระหว่างปฎิบัติงาน

และหน้าที่ของยมฑูตที่มานำวิญญาณของนักดับเพลิงเคราะห์ร้ายคนนี้ไปตัดสินคือ ทีมของ 3 ยมทูต กังลิม, เฮวอนเม็ก และ อีด๊อกชุน ที่ต้องพาวิญญาณของชายคนนี้ไปยังโลกหลังความตายที่ระหว่างทางมีอันตรายแฝงอยู่อย่าง แม่น้ำกินคน, ป่าใบมีด, หลุมดูดร่างขนาดยักษ์ หรือกองทัพนักรบทราย

และถ้าดวงวิญญาณนี้ได้รับการตัดสินให้ไปเกิดใหม่ พวกเขาก็จะถือว่าสะสมแต้มในการทำงานได้ครบ และถูกส่งตัวไปเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งในเรื่องของระบบการตัดสินความผิดนี้ใช้หลักการเดียวกับการพิพากษาของโลกมนุษย์ มีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด นอกจากหัวหน้ายมฑูตกังลิมจะเป็นผู้ปกป้องดวงวิญญาณแล้ว ยังต้องทำหน้าที่เป็นทนายคอยแก้ต่างให้กับลูกความของเขาด้วย  และมีอีกสองยมฑูตเป็นผู้ช่วย

ต้องบอกว่าเรื่องนี้ส่วนตัวแอดเองชอบภาคแรกโคตรๆ นั่งน้ำตาไหลแบบเสียเชิงชายสุดๆ 555 ถ้าใครได้ดูภาคแรกคงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่หนังแอคชั่น ภาคแรกโดนตัวอย่างหลอกเต็มๆ เข้าโรงไปกะมันส์แบบเต็มที่ แต่กลับเจอดราม่าและเนื้อเรื่องที่ดีเกินคาด (มากๆ) เรียกได้ว่าน้ำตาตกกันเป็นลิตรๆ และเมื่อมีภาคต่อออกมา ทำให้เราอยากดูและติดตามเนื้อเรื่องต่อ

เนื้อเรื่องในภาคนี้จะสืบสานประเด็นต่อจากภาคแรกน้องชายของ คิม จาฮง วิญญาณอาฆาตอย่าง คิม ซูฮง ที่บอกว่าเป็นวิญญาณคนดี! (อีกแล้ว) โดยก็ต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อพิสูจน์ถึงการตายของวิญญาณตนนี้ แต่ในภาคนี้ยังมีการเปิดเผยถึงประเด็นเบื้องลึกเบื้องหลังความเป็นมาของยมทูตทั้งสาม คังลิม, เฮวอนเมก และดัคชุน ว่าทั้งสามมาอยู่ด้วยกันและมาเป็นยมทูตได้อย่างไร ผ่านทางเทพประจำตระกูล ผู้เคยเป็นอดีตยมทูตที่นำดวงวิญญาณของยมทูตทั้งสามมาส่งอย่าง ซอง จูชิน

ด้วยความที่ภาคแรกทำออกมาได้โคตรดี ดีกว่าที่คิดที่คาดไว้มาก ทำให้เราคาดหวังกับภาคสองอย่างมากเช่นกัน แต่นั่นกลับทำให้เราผิดหวังพอสมควร (ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี)

เนื้อเรื่องในภาคนี้เล่าต่อจากภาคแรกทันที หลังจากเหล่ายมทูตพาวิญญาณคนดี คิม ซูฮง ฝ่านรก ต่อสู้กลางทะเลทราย เพื่อไปตัดสินกันในศาล แต่ดูหนัง HDต้องมีการพิสูจน์กันว่าเป็นวิญญาณคนดีจริงหรือเปล่า คล้ายกับในภาคแรก เนื้อเรื่องยังคงเล่นประเด็นศีลธรรม บาป บุญ คุณ โทษ เช่นเคย และยังคงมี 3 ยมทูตที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอยู่

รีวิว Along With The Gods


โดยที่เหลือ ยมทูตคังลิม เท่านั้นที่ต้องมาว่าความให้ คิม ซูฮง ส่วนยมทูตอย่าง เฮวอนแมกและดัคชุน ต้องไปเก็บดวงวิญญาณดวงหนึ่งซึ่งมี เทพประจำตระกูลคอยคุ้มครองอยู่นั่นก็คือ ซอง จูชิน ที่มาเปิดเผยเรื่องราวอดีตชาติของ 3 ยมทูต ภาคนี้มีประเด็นหลักๆ อยู่ 3 ประเด็น นั่นก็คือเรื่องราวการตัดสินคดี พิสูจน์วิญญาณคนดีของ คิม ซูฮง, อดีตของ 3 ยมทูต และประเด็นของดวงวิญญาณที่ต้องไปตามเก็บ

ในด้านที่หนังออนไลน์น่าชื่นชมยังคงเป็นความแฟนตาซีของฉากต่างๆ CG นี่ทำออกมาได้ดี สวย งดงามมากๆ ตัวเนื้อเรื่องยังมีประเด็นน่าสนใจและชวนให้อยากรู้ น่าติดตาม ยังคงสอดแทรกมุกตลกเป็นระยะๆ หนังค่อยๆ ทิ้งปมไปเรื่อยๆ และตัดสลับการเล่าเรื่องระหว่างสองโลก ได้อย่างน่าติดตาม แถมหนังยังสอดแทรกแง่คิดไว้มากมาย ทั้งเรื่องบาปและการให้อภัย

แต่ปัญหาของเรื่องนี้เลยก็คือการเล่าเรื่องที่รีบจนเกินไปมากๆ ปล่อยผ่านแต่ละฉากไปอย่างน่าเสียดาย การผ่านแต่ละชั้นศาลไม่มีอะไรให้น่าจดจำและดูง่ายดายไปซะหมด ประเด็นเยอะไปแถมหนังยังพาเราไปผูกพันกับตัวละครเหมือนอย่างภาคแรกไม่ได้เท่าที่ควร

(ในภาคแรกปูและขยี้เรามาตลอดทั้งเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณดี คิม จาฮง และแม่ของเขา เลยทำให้จุดไคลแม็กของเรื่องบีบน้ำตาได้แบบสุดๆ) แต่พอมาภาคนี้ด้วยความที่ทำไม่ได้แบบนั้น พอถึงจุดขมวดของหนังเลยทำให้มันไม่ดราม่าขนาดนั้น หลายๆ อย่างของหนังดูง่ายดายและเหมือนหาทางลงกับมันไม่ได้เลยดูฝืนๆ ไปซะหน่อย

แฝงด้วยข้อความ

หนังเรื่องนี้ให้ข้อคิดเดียวกับตัวละครนายตำรวจที่หลิวเต๋อหัว แสดงไว้ใน Infernal Affair นั่นคือเมื่อกรรมหมายถึงการกระทำ และทุกการกระทำก็ต้องเกิดผลกระทบต่อมา ไม่มีพลังอำนาจใดที่จะมาลบล้างความผิดที่เคยทำไว้ได้ ถ้าเรายังคงดื้อดึงไม่ยอมรับ และหาทางคลี่คลายความรุ้สึกผิดบาปของตัวเอง ก็ไม่ต่างกับตัวละครในเรื่องที่แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นคนที่สง่างาม มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่ความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้นั้น กลับเป็นผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกที่ตัวเองสร้างเอาไว้เป็นพันๆ ปี

สรุป

โดยรวมแล้วมันเป็นหนังที่สนุกเรื่องนึงเลย แต่สู้ภาคแรกไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งการเล่าเรื่อง และประเด็นต่างๆ แต่ถ้าใครดูภาคแรกมาแล้วก็ยังอยากให้ดูภาคนี้ต่อ เพราะจะได้คลี่คลายปัญหาต่างๆ ที่สงสัย

ปล.สุดท้ายกลายเป็นหนังภาคต่อที่มีเรื่องราวที่จะเล่าเยอะเกินเหตุจนไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูด้วยดราม่าครอบครัวที่ทำให้หนังภาคแรกอยู่ในใจคนดูไปอย่างน่าเสียดาย

Searching

ดูหนัง HD

รีวิว Searching - เสิร์ชหา....สูญหาย

หนังเรื่องนี้ตอนได้ดูตัวอย่างครั้งแรก ทำให้เรานึกถึงหนังที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเหมือนกันอย่าง Unfriend (2014) ที่ณ ตอนนั้นที่หนังเรื่องนี้เข้า ถือว่าแปลกใหม่ และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนดูได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ตในปีเราก็ได้เห็นหนังที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบเดียวกันกับ Searching เสิร์ชหา...สูญหาย รีวิว Searching

เรื่องย่อ

บางครั้งการค้นหาความจริง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นคำถาม? หลังจากที่ลูกสาววัย 16 ปีของเขาหายตัวไป ผู้เป็นพ่อผู้เศร้าโศกจึงพยายามเจาะเข้าไปในโน๊ตบุ๊คลูกสาวของเขาเพื่อหาเบาะแสและตามตัวเธอให้เจอ

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของครอบครัว Kim ที่สูญเสียผู้เป็นแม่ไป David Kim ผู้เป็นพ่อ ต้องเลี้ยงลูกสาว Margot Kim ด้วยตัวคนเดียว แต่อยู่มาวันนึงลูกสาวได้หายตัวไป ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องสืบเสาะตามหาลูก ด้วยการหาเบาะแสต่างๆ ผ่านทางโลกออนไลน์

ชีวิตของ เดวิด คิม (จอห์น โช) แทบมืดแปดด้านหลังการหายตัวไปของ มาร์ก็อต (มิเชล ลา)ลูกสาวสุดที่รัก และเบาะแสที่ดีที่สุดอยู่ในประวัติการออนไลน์และติดต่อบรรดาเพื่อนๆของเธอ ที่เขาอาจได้ค้นพบอีกด้านว่าลูกสาวที่เขาเลี้ยงอาจไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่คิด

ทั้งฟอร์มในการเสนอผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์และปริศนาคนหาย ภาพของหนังเมื่อ 4 ปีก่อนอย่าง Unfriended (2014) ก็แจ่มชัดทันทีและพาลให้นึกไปทางลบว่าหนังคงทำออกมาตามกระแสให้ตระหนักถึงภัยโซเชียลเน็ตเวิร์คและมีจุดหักมุมกันตามคาด แต่กลับตรงกันข้ามบทหนังที่ เซฟ โอฮาเนียน (Sev Ohanian) เขียนร่วมกับ อานีช ชากันที (Aneesh Chaganty)

ผู้กำกับก็วางปมและจุดหักมุมต่างๆอย่างรัดกุมจนทำให้ตลอดเวลา 102 นาทีของหนังแทบไม่มีจุดน่าเบื่อโดยสามารถดึงเบาะแสดิจิตอลหรือ ดิจิตอลฟุตปรินต์ (Digital Footprint) ของมาร์ก็อตออกมาสร้างความประหลาดใจและนำไปสู่จุดหักมุมได้เป็นอย่างดี แถมการเก็บสิ่งที่ปูไว้หรือเบาะแสที่หนังแอบเผยไต๋มาทดสอบความจำคนดูก็ทำได้กลมกล่อมพอดี เรียกได้ว่าหนังสามารถอุดช่องโหว่ต่างๆได้แบบแนบเนียน และยังหลอกทางคนดูได้ว้าวดีเหลือเกินอีกด้วย

จุดที่ผมชอบเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นการใช้ฟังก์ชั่น ‘เล่าเรื่องผ่านจอ’ ที่แม้หนังจะมาหลัง Unfriended หรือ Friend Request แต่ Searching กลับสามารถใช้กลไกของหน้าจอคอมในหลากหลาย OS เพื่อแบ่งยุคสมัยได้อย่างชาญฉลาดดีเหลือเกิน โดยหน้าจอ Window 95 ใช้บอกช่วงปีเกิดของ มาร์โกต์

ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่หนังใช้ฟังก์ชั่นวันที่และบันทึกเมโม่บนหน้าจอเดสก์ทอปของคุณแม่ที่จดบันทึกทุกอย่างของลูกสาวเป็นการบอกเล่าความเป็นมาของตัวละครที่มีความละเอียดและรู้จักลูกสาวตัวเองดี ทั้งเบอร์โทรติดต่อเพื่อนสนิท วีดีโอบันทึกเหตุการณ์สำคัญของมาร์โกต์ ซึ่งหนังใช้จังหวะแช่มช้าแบบความเร็วคอมพิวเตอร์สมัยก่อนมาบอกช่วงเวลาอันสุขสันต์ ที่่ต่อมามันได้กลายเป็นเบาะแสสำคัญของเดวิดในการตามหาลูกสาว

ส่วนเรื่องราวในปัจจุบันจะบอกเล่าผ่าน Mac OS ที่ตรงนี้คงต้องบอกว่าทาง SONY ใจกว้างเหลือเกินที่จะให้อิสระผู้กำกับได้บอกเล่าไอเดียตัวเองแทนที่จะยัดเยียดขายของ SONY และแน่นอนว่าด้วยความคุ้นเคยของคนดูเลยทำให้เรื่องราวดูน่าเชื่อถือ และหนังก็เลือกฟังก์ชัน เฟสไทม์

และการโทรศัพท์ผ่าน IPhone ในการแสดงให้เห็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร โดยมีการใช้ฟังก์ชันของโปรแกรมต่างๆบนหน้า เดสก์ทอป ในการให้ข้อมูล และด้วยคาแรกเตอร์ของตัวละครพ่อที่มีความลนลานและหวาดหวั่นในความปลอดภัยของลูก เราเลยได้เห็นการปิดหน้าต่างโปรแกรมโน้น เปิดโปรแกรมนี้ สร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ได้ด้วยจังหวะเปิดปิดบนหน้าจอคอม

และยังได้รับข้อมูลชุดเดียวกับตัวละคร โดยไล่ตั้งแต่ Mac Book ของเดวิดที่แสดงให้เห็นว่าเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกสาวเลย จนกระทั่งต้องเปิด Mac Book ของลูกสาวเพื่อหาเบาะแสสำคัญก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

และทีละน้อยเมื่อหนังเล่นกับการคอมโพสผ่านภาพจอผ่านกรอบมันยังผลักผู้ชมให้กลายเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เหมือนได้สิทธิพิเศษในการ ‘เผือก’ เรื่องดราม่าของตัวละครในระยะประชิด ส่งผลให้แทนที่คนดูจะรู้สึกแปลกปลอมกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ในโรงหนังกลับกลายเป็นว่า เราได้สัมผัสเรื่องราวที่มีชีวิตมีเลือดเนื้อของพ่อที่พยายามสุดหัวใจในการตามหาลูกอย่างไม่ลดละ ซึ่งพลังส่วนใหญ่ก็มาจากการแสดงของจอห์น โช นั่นเอง

ยอมรับเลยว่าสิ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่งในบรรดาหนังที่เข้าในสัปดาห์นี้ (23 สิงหาคม 2561) คือ Searching เป็นหนังอีกเรื่องนอกจาก Crazy Rich Asians (หนังรักนางซินหน้าหมวยที่ถล่มบ็อกซ์ออฟฟิศพร้อมกวาดคำชมแบบม้ามืด) ที่เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญเมื่อฮอลลีวูดเริ่มให้โอกาส คนเอเซีย รับบทนำ

โดยหนังได้ จอห์น โช จากหนังชุด Star Trek ฉบับรีบูธของ เจ เจ เอบรามส์ มาเป็นจุดขายและปล่อยพลังการแสดงจนนักวิจารณ์ต้องยกนิ้วให้ โดย จอห์น โช สามารถก้าวข้ามทั้งบทนักแสดงตลกลูกครึ่งเอเซียใน Harold & Kumar และบท ซูลู จากสตาร์เทรค แบบแทบเปลี่ยนเป็นคนละคน

ทั้งการวางสีหน้าที่ลำดับความวิตกกังวลจากสงสัยไปจนถึงคร่ำเคร่งกับการตามเบาะแสเพื่อค้นหาลูกสาว ไปจนถึงการระเบิดอารมณ์ต่างๆก็ทำได้น่าเชื่อถือจนเป็นภาพแทนของคุณพ่อที่ชีวิตนี้คงจบสิ้นทันทีหากลูกสาวเป็นอะไรไปโดยฟอร์มหนังไอเดียจัดจ้าน หรือ ขนาดจอภาพไม่ได้เป็นปัญหาบดบังแอ็คติ้งอันยอดเยี่ยมของเขาได้เลย

วิจาร์ณ

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของครอบครัว Kim ที่สูญเสียผู้เป็นแม่ไป David Kim ผู้เป็นพ่อ ต้องเลี้ยงลูกสาว Margot Kim ด้วยตัวคนเดียว แต่อยู่มาวันนึงลูกสาวได้หายตัวไป ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องสืบเสาะตามหาลูก ด้วยการหาเบาะแสต่างๆ ผ่านทางโลกออนไลน์

หนังเล่าเรื่องได้ไร้ที่ติสุดๆ จุดที่ชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้คือ ตั้งแต่การเปิดเรื่องด้วยการใช้ Window 95 บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวนี้ตั้งแต่ Margot เกิด จนเปลี่ยนผ่านยุคเป็น OS ซึ่งเป็นการเล่าไทม์ไลน์ได้ชาญฉลาดสุดๆ หนังใช้ทุกฟังก์ชั่นของเทคโนโลยีและโลกออนไลน์ได้คุ้มมาก ใช้แทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลดูหนัง HDใน Google เล่น facebook ใช้ facetime เปิดหาข่าวสารตามเว็บต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย หนังใช้การเล่าเรื่องผ่านจอได้สุดยอดมากๆ แต่ละฉากนี่แบบนึกในใจ “เห้ย สุดยอด เจ๋งมาก”

รีวิว Searching


นอกเหนือจากเทคนิคการเล่าเรื่องผ่านจอแล้ว หนังยังมีบทที่น่าสนใจ ที่แยบยล ทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง Gone Girl ในอีกรูปแบบได้เลยก็ว่าได้ ชอบตรงที่หนังสามารถใช้เรื่องราวมาร้อยต่อกับการเล่าเรื่องผ่านจอได้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ คือทุกอย่างดูไหลลื่น ไม่น่าเบื่อเลย ตลอดทุกนาที ทำให้คนดูเอะใจ สงสัย สะเทือนใจ ตื่นเต้น ลุ้นไป และคาดเดาอะไรไม่ได้เลย

มันทำให้หนังถ่ายทอดสดดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ด้วยการแสดงต่างๆ แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของเมาส์ การเลื่อนจอ ปิดนู่น หานี่ พิมพ์นั้น ตอบนี่ ทำให้เราได้รู้สึกถึงอารมณ์ ของตัวละครนั้นๆ และการที่เล่าเรื่องผ่านหน้าจอเดสท็อป มันเหมือนกับเรากำลังนั่งสืบสวน เสาะหา และทำมันร่วมไปด้วยกับตัวละครนั้นๆ อยู่จริงในขณะนั้นเลย จุดนี้ต้องชมพระเอกของเรื่องอย่าง John Cho ที่บอกว่าเอาหนังอยู่จริงๆ ทั้งการแสดงอารมณ์ สีหน้า ท่าทาง ทำได้น่าเชื่อถือสุดๆ จนทำให้คนดูอย่างเราเชื่อได้เลยว่า เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ประเด็นของครอบครัวก็ยังเข้มข้น ความรัก ความสัมพันธ์ ความผูกพันธ์ การเลี้ยงดูลูกด้วยตัวคนเดียว ก็ยังสื่อออกมาได้ดีมากๆ เช่นกัน ข้อเสียเดียวของเรื่อง ไม่สิ มันน่าจะเป็นข้อเสียดายที่เราอยากให้หนังมีสักหน่อย คือการเฉลยจุดของหนัง อยากให้เห็นเหตุการณ์ “นั้น” ผ่านทางมือถือหรือจอคอมก็ว่าไป นอกเหนือจากนั้นบอกเลยมันลงตัวและ PERFECT! มาก

ใครจะไปดูไม่ต้องไป Search หาข้อมูลรีวิวหรืออะไรจากไหนละ ไปซื้อตั๋วดูเลย ณ บัดนาว เป็นเรื่องที่ชอบที่สุดในสัปดาห์นี้แล้ว รองลงมาจาก Crazy Rich Asians หนังทำได้ดีกว่าหนังแนวๆ เดียวกันมากๆ ดีกว่าทั้ง Unfreind (2016) และ Friend Request (2016) ห้ามพลาดเด็ดขาด!!!

สรุป

หากใครกังวลว่า Searching จะเป็นหนังไซเบอร์ทริลเลอร์ที่ดูยากขอบอกเลยว่า ตัวหนังไม่ได้เอาเทคโนโลยีมาตีหัวเข้าบ้าน เพราะเอาเข้าจริงตัวหนังเองกลับเลือกนำเสนอเรื่องราวสามัญทว่าสัมผัสใจดีเหลือเกินทั้งความรัก ความห่วงใย และช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัวท่ามกลางวิกฤติการหายตัวไปของคนสำคัญในครอบครัว และแน่นอนว่านอกจากหนังจะเล่าได้สนุกมากๆแล้ว ใครมีลูกสาวยิ่งต้องแนะนำให้มาดูเพราะเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดกับใครก็ได้

Christopher Robin

ดูหนัง

รีวิว Christopher Robin - คริสโตเฟอร์ โรบิน

ถึงคราวดิสนีย์หยิบเอาเรื่องราวของหมีพูห์และผองเพื่อน นำมาเล่าในเวอร์ชั่นคนแสดงซักที ถือเป็นอีกก้าวดำเนินตามรอย Alice In Wonderland / Maleficent / Cinderella / Junglebook / Beauty and the beast รีวิว Christopher Robin

เรื่องย่อ

ถึงเวลาพบกับเพื่อนรักในวัยเด็ก อีกครั้ง กับภาพยนตร์แฟนตาซีจากสตูดิโอผู้สร้าง Beauty And The Beast เมื่อคริสโตเฟอร์ โรบิน ที่โตเป็นผู้ใหญ่ได้พบวินนี่ เดอะ พูห์ อีกครั้งใน Christopher Robin - คริสโตเฟอร์ โรบิน 9 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

ช่วงหลังทาง Disney เองก็ดัดแปลงการ์ตูนมาทำเป็นหนัง Live Action ออกมาเรื่อย ๆ และทำออกมาได้ดีด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Winnie the Pooh ที่ใช้ชื่อหนังอย่างเป็นทางการว่า Christopher Robin โดยได้ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ ผู้กำกับที่เคยผ่านงานอย่าง World War Z, Monsters Ball และ Quantum of Solace มานั่งแท่นกำกับหมีพูห์เวอร์ชันคนแสดง

ซึ่งใน Live Action นี้จะเน้นไปที่ชีวิตของ คริสโตเฟอร์ โรบินส์ (ยวน แม็คเกรเกอร์) ที่เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ในปลายยุค 1940 ทำงานหนัก มีครอบครัว และกำลังเผชิญปัญหาในช่วง Midlife Crisis จนหลงลืมตัวตน ละเลยคนรอบข้าง และมืดบอดในการควานหาความสุขที่แท้จริง จนกระทั่งเจ้าหมีพูห์แห่งป่า 100 เอเคอร์ปรากฏตัวขึ้นกลางกรุงลอนดอน ทำให้โรบินส์ต้องหาทางพาเพื่อนเก่ากลับบ้านเดิมที่ซัสเซ็ก และจากนั้นเรื่องราวจากความทรงจำในวัยเด็กของโรบินส์ก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

ต้องบอกเลยว่า Christopher Robin ในเวอร์ชัน Live Action นั้นทำออกมาได้ลงตัวดีเยี่ยมมาก ๆ เริ่มจากจุดแข็งในเรื่องของการผสมผสานตัวการ์ตูนกับตุ๊กตาของจริงในการเดินเรื่อง ซึ่งทำได้ดูสมจริง อันที่จริงต้องบอกว่าแนวทางของ Christopher Robin นั้นเดินตามสูตรเดียวกับ TED เจ้าหมีจังไรมาก ๆ

เพียงแต่ต่างกันตรงที่ว่าเรื่องนี้เน้นจับไปที่ประเด็นความเป็นครอบครัวอบอุ่นเป็นหลัก ขณะเดียวกันอีกจุดแข็งที่ทำให้ตัวละครในแก๊งการ์ตูนดูมีชีวิตชีวาจับต้องได้ก็ต้องยกให้ทีมพากย์รุ่นเก๋า โดยเฉพาะ จิม คัมมิงส์ ที่ให้เสียงทั้งเป็นหมีพูห์และทิกเกอร์นั้นมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย มีส่วนในการยกระดับหนังเวอร์ชันนี้ไปอีกขั้นจริง ๆ

Christopher Robin มันคือ coming of age ของคริสโตเฟอร์ โรบินส์ ในวัยผู้ใหญ่ ที่ด้วยแบ็คกราวน์ในชีวิตทำงาน ได้เปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของเขาไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในยุคอุตสาหกรรมคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่มีเวลาให้ครอบครัวคือภรรยา เอเวอร์ลิน (เฮลีย์ แอทเวลล์) และลูกสาว แมเดลิน (บรอนท์ คาร์ไมเคิล) ของเธอมากพอ

โลกของโรบินส์ที่มีแต่หน้าที่และความรับผิดชอบแบกอยู่บนบ่าสองข้างของเขามาตลอด จุดเปลี่ยนอีกครั้งที่จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปได้ก็คือต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ระดับค้อนปอนด์ลงมาทุบหัว หรือฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าหมีพูห์ และผองเพื่อนในวัยเด็กของเขานั่นเอง

สิ่งที่ผมชอบและรู้สึกดีกับหนังมาก ๆ เลยคือวิธีการเล่าเรื่อง ทุกวันนี้หนังหลายเรื่องที่อิงจากนิยายแฟนตาซีแล้วใช้พลอตที่ซับซ้อน เพื่อทำให้คนเห็นภาพมาก ๆ แต่มันไม่อิมแพ็คเท่ากับวิธีของ Disney ที่เดินเรื่องแบบเรียบง่าย เล่าละเอียด ลึกซึ้งและสนุกไปกับตัวหนังด้วย หนังไม่ได้ขยี้ให้บ่อน้ำตาแตกกับการรำลึกคืนวันเก่าๆ

เมื่อจะเดินไปถึงจุดนั้น มันก็จะถูกสอดแทรกด้วยความทะเล้นของตัวละคร มุกตลกและความน่ารักในเรื่องให้ความรู้สึกมันลุ่มลึกพอดี ที่สำคัญคือ เมสเซจ ของหนังที่สอดแทรกมา สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมาก ๆ มันบอกเราเบา ๆ ว่า ไอ้ที่ผู้ใหญ่เขาทำกันอยู่น่ะ บางอย่างก็เป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลาทั้งนั้น

การกระทำที่แลกกับเวลาอันมีค่าของชีวิตที่เราควรจะให้ความสำคัญกับคนที่เรารัก และสิ่งที่ทำให้มีความสุขโดยที่ไม่ต้องพยายาม เรากลับทำง่วนทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ที่สุดท้ายแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิตเลย หรืออีกนัยหนึ่งหนังเรื่องนี้แอบจิกกัดชีวิตในยุคอุตสาหกรรมอย่างแนบเนียน

วิจาร์ณ

เป็นหนังแสดงคนจริงของวินนีย์ เดอะ พูห์ โดยดิสนีย์จากกระบวนการเปลี่ยนอนิเมชั่นรุ่นโบราณมาให้เข้ากับปัจจุบัน ที่ทะยอยออกมาให้รับชมในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม ให้ประสบการณ์ใหม่ และเติมเต็มอดีตกาลของผู้คนในยุคเหล่านั้น เรื่องนี้เองก็ทำงานในเรื่องราวของ “ความทรงจำ” ได้ดีมากๆ แม้พล๊อตจะดูเบาสบาย ไม่หวือหวา แต่ก็เป็นพล๊อตที่ทรงพลังในรูปแบบการ์ตูนเด็กของมันเอง

หนังพาเราไปปูเรื่องราวของวินนีย์ เดอะ พูห์ กับคริสโตเฟอร์ โรบิน ใน ป่า 100 เอเคอร์ ที่ดูคลับคล้ายจะเป็นเพียงแค่ “เพื่อนในจิตนาการ” ที่มีหน้าที่ในการเติมเต็มวัยเด็กของคริสโตเฟอร์ ไปจวบจนการเติบโตผ่านเข้ามาในชีวิตของโรบิน นำพาให้เขาออกจากเพื่อนวัยเด็ก กลายเป็นผู้นำครอบครัว ผ่านสงคราม ต้องมีความรับผิดชอบให้ต้องดูแล มีคนรอเขา และมีคนต้องการเวลาของเขา จนทำให้คำติดปากของ พูห์ และโรบินมลายหายไปกับความจริงที่เจ็บปวด

“การไม่ทำอะไร มักจะนำไปสู่ที่สุดของบางสิ่งเสมอ”

คริสโตเฟอร์ โรบินหลงลืมคำกล่าวนั้น กลายเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งที่แล่นไหลไปตามกระบวนการทุนนิยม เป็นเพียงเฟืองที่ถูกสร้างมาให้ทำงานของตัวเอง และมีเพียงจุดประสงค์เดียวคือสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ผ่านความคิดเรียบง่ายที่เราชอบใช้กันคือ “ความฝัน ต้องลงมือทำจึงจะได้มา"

ในความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวโยงกับข้อความนี้ ผ่านโครงสร้างของบทที่เรียบง่ายแบบสุดๆ แม้เราจะไม่ชอบการออกแบบตัวละครตัวร้าย แต่เรื่องราวของตัวคริสโตเฟอร์ที่มีต่อครอบครัวของเขา มีต่อตัวเขาเอง และมีต่อความรับผิดชอบ ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เราสนุกสนานกับความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อย

ส่วนวินนีย์เดอะพูห์ เป็นตัวละครที่ทรงเสน่ห์มากๆ ความเป็น “เจ้าหมีแก่โง่ๆเอ๊ย” ทำให้มันน่ารักน่าชัง น่าหยิกน่ากอด รวมไปถึงการร้อยเรียงคำพูดของเดอะพูห์ ที่คมกริบแบบสุดๆ หนังซ่อนใต้บรรทัดเกี่ยวกับความฝันผ่านการผจญภัยสั้นๆของโรบินและลูกสาวได้น่าสนใจมากๆ การโต้ตอบของทั้งสองมันจุกอก รุนแรง เหมือนเสียบแทงกลายๆ แต่ก็อบอุ่น งดงาม

โดยเฉพาะฉากการ “รอ” และการ “พบเจอ” ของดูหนังความทรงจำวัยเด็ก กับวัยผู้ใหญ่ผ่านพูห์ และโรบิน ทำออกมาได้สั่นสะเทือนอารมณ์มากๆ มันเหมือนกับว่าความไร้เดียงสาก็ยังรอให้เราไปทำความรู้จัก รอให้เรากลับไปใส่ใจเขาอยู่เสมอ และหนังก็ใช้ "ลูกโป่งสีแดง" กับฉาก "ปล่อยกิ้งไม้กระแทกน้ำ" ได้อย่างโดดเด่นตามต้นฉบับอีกด้วย

รีวิว Christopher Robin


“วันนี้อะไรหรือพูห์”
“มันคือ วันนี้”
“มันคือวันที่ฉันชอบที่สุด..."

ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้ผู้คนกลับไปอยู่กับ “ปัจจุบัน” สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของเราไม่ใช่อดีตวัยเด็ก หรืออนาคตที่ไม่มั่นคงที่เราพยายามหลีกหนี หมีพูห์ เมเดลีน และภรรยาของคริสโตโรบินคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโปรแกรมหนัง เราต้องกลับไปฟังคนที่เรารัก กลับไปทำความเข้าใจจริงๆว่าเขาต้องการอะไร เพราะสิ่งที่เราอยู่ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต แต่คือ ปัจจุบัน...

ตอน End Credit ขึ้นจะมีผู้ร่วมสร้างสรรค์วินนีย์ เดอะ พูห์ ต้นฉบับมาเล่นเปียนโนร้องเพลงกลางชายหาดด้วยอายุ 90 ปี ถือเป็นการจบความทรงจำอันงดงามที่ได้รับการส่งต่อได้อย่างสมบูรณ์มากๆ มันอาจไม่ได้ก้าวล้ำ หรือสะเทือนใจรุนแรง ไม่ได้สมจริง ไม่ได้ตลกมากมาย แต่ก็ทำงานในฐานะของขวัญแห่ง “ความทรงจำ” และตอนจบที่แฮปปี้เอนดิ้งจริงๆ
เหมือนที่พูห์ กล่าวไว้ในช่วงท้ายๆว่า
“มุ่งไปทางเหนือ คริสโตเฟอร์ โรบิน”
ขอให้มุ่งไปทางเหนือทุกคนนะครับ...

สรุป

สุดท้ายแล้วถ้าใครเคยมีประสบการณ์หรือความทรงจำดีๆเกี่ยวกับหมีพูห์และผองเพื่อน ถ้าได้มาชมเรื่องนี้ก็คงจะฟิน หรือได้ย้อนวัยกลับไปสมัยเด็กได้ไม่ยาก อีกทั้งจะยังหลงรักตัวละครต่างๆมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าคุณไม่เคยอินหรือเคยดูการ์ตูน Winnie The pooh มาก่อนก็คงจะเฉยๆ หรือไม่อินกับเรื่องนี้เท่าไหร่

The Meg

ดูหนัง

รีวิว The Meg - เม็ก โคตรหลามพันล้านปี

เรื่องความน่ากลัวของฉลามยังคงถูกนำมาใช้เป็นตัวร้ายในหนังฮอลลีวู้ดได้เรื่อย ๆ ทั้งหนังสตูดิโอใหญ่และหนังเกรดบี แต่ถ้าว่ากันเฉพาะฉลามยักษ์ก็ต้องมองย้อนไปถึง Jaws ตั้งแต่ปี 1975 นู่น วันที่สตีเวน สปิลเบิร์กสร้างฉลามยักษ์ให้เป็นอสุรกายที่ทำให้คนทั้งโลกแขยงกันไปหมดไม่กล้าลงทะเล การมาถึงของ The Meg เท่ากับเป็นการกลับมาของฉลามยักษ์ที่เราไม่ได้เห็นกันบนจอหนังมากว่า 40 ปี รีวิว The Meg

เรื่องย่อ

ดัดแปลงมาจากหนังสือของนักเขียน สตีฟ อัลเทน (Steve Alten) ที่บอกเล่าเรื่องราวของฉลามยักษ์เม็กกาโลดอนในตำนาน ที่มีขนาดใหญ่ถึง 70 ฟุต น้ำหนักกว่า 40 ตัน เหล่านักวิทยาศาสตร์ชาวจีนจะนำพวกเราลงไปสำรวจโลกใต้ท้องทะเลลึก ที่ซึ่งพวกเขาจะต้องพบกับความอันตรายที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
พวกเขาต้องติดอยู่ภายใต้ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา พร้อมกับเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านไป โจนาส เทย์เลอร์ (เจสัน สเตแธม) อดีตนาวิกโยธินผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำลึกถูกว่าจ้างโดย ดร.จาง ซูหยิน ผู้นำโปรแกรมการสำรวจโลกใต้ท้องมหาสมุทร ให้มารับภารกิจเสี่ยงตาย เมื่อหลายปีก่อน เทย์เลอร์ก็เคยเผชิญหน้ากับความน่ากลัวแบบนี้มาก่อนแล้ว

ตอนนั้นภารกิจของเขาล้มเหลว และเขาต้องสูญเสียลูกทีมไปกว่าครึ่ง มันเป็นความอัปยศอดสู และเขาต้องถูกปลดจากงานอย่างน่าอับอาย ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เทย์เลอร์จะต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความกลัว และภัยอันตรายด้วยตัวของเขาเอง เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ติดอยู่ใต้ท้องสมุทรนั้น... เขาจะต้องเผชิญหน้ากับนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดกาลอีกครั้ง!

เรื่องความน่ากลัวของฉลามยังคงถูกนำมาใช้เป็นตัวร้ายในหนังฮอลลีวู้ดได้เรื่อย ๆ ทั้งหนังสตูดิโอใหญ่และหนังเกรดบี แต่ถ้าว่ากันเฉพาะฉลามยักษ์ก็ต้องมองย้อนไปถึง Jaws ตั้งแต่ปี 1975 นู่น วันที่สตีเวน สปิลเบิร์กสร้างฉลามยักษ์ให้เป็นอสุรกายที่ทำให้คนทั้งโลกแขยงกันไปหมดไม่กล้าลงทะเล การมาถึงของ The Meg เท่ากับเป็นการกลับมาของฉลามยักษ์ที่เราไม่ได้เห็นกันบนจอหนังมากว่า 40 ปี

นอกจากจะมีฉลามยักษ์เป็นจุดขาย แล้วก็ยังมีเจสัน สตาแธม ถูกใช้เป็นชื่อขาย เจสันห่างหายจากหน้าจอไปนานพอควร หลังจาก The Fate of the Furious ตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็เพิ่งมีเรื่องนี้ล่ะ เขารับบทเป็นโจนาส เทย์เลอร์ กับอาชีพใหม่ที่เรา ๆ เพิ่งเคยเห็นกันคือ นักกู้ภัยทางทะเลลึก

หนังมาตามสูตรพระเอกฮีโร่เป๊ะ ด้วยการเปิดเรื่องให้เห็นวีรกรรมของโจนาสในอดีต ที่เขาเคยมีตราบาปฝังใจช่วยชีวิตผู้ประสบเคราะห์ในเรือดำน้ำอับปางได้ไม่ครบทุกชีวิต และหนึ่งในนั้นคือเพื่อนร่วมทีมของเขา ตามฟอร์มของพระเอกฮีโร่ โจนาสหนีไปปลีกวิเวกเป็นเวลานาน

ตัดมาปัจจุบัน มอร์ริส มหาเศรษฐีที่ไม่รู้เอาเงินไปทำอะไร เลยเอามาลงทุนที่จีน สร้าง Mana One ศูนย์สำรวจโลกใต้ทะเลลึกในจุดที่คาดว่าจะลึกที่สุดในโลก หนังสร้างสมมติฐานได้น่าสนใจว่า พื้นก้นสมุทรที่มองเห็นนั้นแท้จริงคือกลุ่มก๊าซลอยตัวเป็นแผ่นปกคลุมอีกโลกไว้เบื้องล่าง Mana One ส่งเรือดำน้ำที่ออกแบบเพื่อสำรวจทะเลลึกลงไปโลกใต้สมุทรได้พบกับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากมาย

และหนึ่งในนั้นคือ เม็กกาโลดอน ฉลามยักษ์ที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 2 ล้านปี เรือดำน้ำโดนฉลามยักษ์โจมตีจนเสียหาย ร้อนถึง Mana One ต้องบินไปตามตัวโจนาส เทย์เลอร์ ที่มาตั้งรกรากอยู่ในไทย ให้มาช่วยเหลือลูกเรือทั้ง 3 และหนึ่งในนั้นคือ ลอรี่ อดีตเมียของโจนาส ที่เวลาจะรอดชีวิตเหลือน้อยเต็มที แต่การที่โลกภายนอกรุกล้ำเข้ามาในโลกใต้สมุทรนี้ เท่ากับเป็นการเปิดทางให้เจ้าเม็กกาโลดอน ได้ออกมาสู่มหาสมุทรเบื้องบนอีกครั้ง

The Meg ก็เป็นหนังเอาใจตลาดทุนสูงอีกเรื่องที่ยังคงใช้ทุนสร้างจากจีน ซึ่งเป็นกระแสหลักของหนังฮอลลีวู้ดในช่วงหลังนี้ อย่างเช่น Skyscraper และ Mission : Impossible Fallout และ Pacific Rim Uprising เมื่อใช้ทุนจากจีน หนังจึงต้องกำหนดว่าเหตุการณ์เกิดในจีน และมีดาราจีนมาเป็นดารานำ แต่ The Meg เป็นหนังที่ออกจะสื่อถึงความเป็นจี๊นจีนมากกว่าทุกเรื่องข้างต้นที่กล่าวมา

นอกจากกำหนดให้เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในทะเลจีนแล้ว ดอกเตอร์จาง หัวหน้าหน่วย Mana One ก็ยังเป็นจีน และบท ชูหยิน นางเอกของเรื่องก็ตกเป็นหน้าที่ของ หลี่ ปิงปิง นางเอกจีนที่ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดมาแล้วหลายเรื่อง ก็นับว่าเป็นนางเอกของเรื่องที่ค่อนข้างสูงวัย เพราะปีนี้เธอปาไป 45 ขวบแล้ว แต่หน้านี่ตึงเป๊ะ แล้วบทของเธอก็ถูกเขียนให้เป็นลูกสาวของดอกเตอร์จาง ที่รับบทโดย วินสตัน เชา ซึ่งแก่กว่าเธอแค่ 15 ปีเท่านั้น

และรายที่หลาย ๆ คนน่าจะรักคือ ชูย่า โซเฟีย ไค สาวน้อยวัย 8 ขวบในบท เหมยอิง ลูกสาวของ ชูหยิน เธอเป็นสาวน้อยที่มีเสน่ห์มาก หน้าตาน่ารัก เล่นหนังได้ลื่นไหล เสียที่ว่าบทเขียนให้เธอเป็นเด็กแก่แดดเกินวัย ดาราจีนเต็มไปหมดแบบนี้ จะมองในมุมกลับว่าเป็นหนังจีนแล้วจ้างเจสัน สตาแธมมาเล่นก็ไม่ผิด บทโจนาสของเจสัน สตาแธม นี่ก็เก่งแบบเวอร์วังมาก เก่งแบบไม่ใช่คนแล้ว โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์นี่ต้องร้อง โอ้วววว

ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน คือหนังพูดถึงเมืองไทยเยอะมาก และมาถ่ายทำในไทยด้วย ในเรื่องเขียนว่า โจนาส เทย์เลอร์ มาอยู่ในสมุทรปราการ แต่ดูในภาพน่าจะไปถ่ายที่เมืองท่องเที่ยวสักแห่งนี่ล่ะ แต่ภาพที่ออกมานี่ไม่น่าดูเอาซะเลย บรรยากาศซอมซ่อล้าหลังมาก มีพี่ปู วิทยา ปานศรีงาม ดาราไทยขาประจำในหนังฮอลลีวู้ด โผล่มาแวบนึงด้วย

ตัวบท

บทหนังให้เครดิตว่าดัดแปลงมาจากนิยาย Meg: A Novel of Deep Terror ของสตีฟ อัลเท็น ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1997 แต่เนื้อหาในหนังแทบไม่มีอะไรเหมือนนิยายเลย นอกจากดูหนังมีพระเอกชื่อโจนาส เทย์เลอร์ เหมือนกันเท่านั้น ถ้าแปลงซะขนาดนี้ไม่ต้องไปให้เครดิตนิยายเขาก็ได้นะ

รีวิว The Meg


บทหนังแทบไม่มีตรรกะอะไรสมเหตุสมผลเลย สนใจเพียงแค่ว่าเขียนเส้นเรื่องอย่างไรให้สอดแทรกสถานการณ์ตื่นเต้นมาได้เรื่อย ๆ เท่านั้น ซึ่งจุดนี้ก็ถือว่าทำได้สำเร็จ หนังเดินเรื่องเร็วมาก ไม่ต้องลุ้นรอฉลามยักษ์กันนาน ออกมาโชว์โฉมตั้งแต่ต้น ๆ เรื่อง  ตัวฉลามทำได้น่ากลัว สมจริง ออกมาอาละวาดบ่อย พิษสงเยอะ มีทั้งฉากให้ลุ้น สะดุ้งตุ้งแช่ และเซอร์ไพรส์ให้เหวอกันช่วงกลางเรื่อง

พลอตค่อนข้างมาในสไตล์ Slash Film คือสร้างตัวละครมาเยอะ ๆ แล้วก็ค่อย ๆ เขียนให้กลายเป็นเหยื่อทีละคน หลาย ๆ คนก็เดาได้ล่วงหน้าว่า “ไอ้นี่….ไม่น่ารอด” และบางรายก็ตายแบบโง่ ๆ ช่วงท้ายเว็บดูหนังเหมือนว่าคนเขียนคงรู้สึกว่าหนังขาดดราม่า ก็เลยใส่ฉากดราม่าเข้ามาซะหน่อยนึง ดนตรีมา โคลสอัปหน้าดาราน้ำตาไหลพราก พยายามบิลท์กันอยู่ครู่นึง แล้วก็ถูกลืมหายไป มีมาแล้วรู้สึกเกิน ๆ แบบนี้ ไม่ต้องมีก็ได้นะ

หนังได้จอน เทอร์เทิลทอบ ผู้กำกับขาเก๋ามารับหน้าที่ ถ้ามองผลงานที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่ตรงแนวนัก เพราะจอน ถนัดมากกับหนังคอมมีดี้ หรือผจญภัยใส ๆ สไตล์ดิสนีย์ ผลงานดัง ๆ ของเขาอย่างเช่น National Treasure ทั้ง 2 ภาค , The Sorcerer’s Apprentice พอมาจับ The Meg โทนสยองก็เลยเบาบางมาก ฉากฉลามกินคนก็เลยมาแบบแวบ ๆ ตัดไปเร็ว ๆ ไม่ถึงขั้นหวาดเสียวถึงกับต้องปิดตา ชวนหญิงไปดูได้เลย มันไม่มีฉากอี๋แหยะ ไม่สยองอย่างที่คิด เพราะหนังกลัวว่าจะได้เรต R ก็เลยยั้งไว้ที่ PG-13 พอ
ยังดีที่ว่าหนังอัดฉากแอ็คชั่นมาถี่ ก็เลยได้ลุ้น และตื่นตาไปกับการโจมตีของเม็กกาโลดอนแทบตลอด 2 ชั่วโมง แต่ถ้าวัดกันถึงความน่าสะพรึงของตัวฉลาม The Meg ยังทำได้ห่างชั้น Jaws เมื่อ 40 ปีก่อน แม้นั่นจะเป็นผลงานแรก ๆ ของสตีเวน สปิลเบิร์ก ด้วยซ้ำและเทคโนโลยีหุ่นและซีจีในวันนั้นก็ยังล้าหลังอยู่มาก

สรุป

The Meg เป็นหนังที่ตอบสนองความบันเทิงได้ดีเยี่ยม อยากเห็นฉลามก็ได้เห็นแบบจุใจ ได้ลุ้น ได้สะดุ้ง มีมุกตลกสอดแทรกเป็นระยะ ดูแล้วสนุกคุ้มกับเวลาและค่าตั๋ว  แต่ห้ามคิดหาตรรกะสาระใด ๆ จากหนังเรื่องนี้ ไม่งั้นจะหงุดหงิด เพราะสุดท้ายสิ่งที่หนังไม่ได้พูดถึง คือแท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนในเรื่องนี่แหละคือตัวร้ายหมด ฉลามมันก็อยู่ของมันดี ๆ ลงไปรบกวนมันเองนะ พอมันหงุดหงิดก็ไปตามฆ่ามัน หนังใช้ทุนสร้างไปค่อนข้างสูง ถึง 150 ล้านเหรียญ แต่ตัวเลขขนาดนี้ ถ้าถูกใจตลาดจีนนะ กำไรเละเทะ เราได้ดู MEG , MEG3 กันอีกแน่