วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563

Monstrum

ดูหนัง

รีวิว Monstrum - พันธุ์อสูรกลาย

หลังจากเข้าฉายโกยรายได้กว่า 600 ล้านวอนในบ้านเกิดเกาหลีใต้ ล่าสุดก็เข้าฉายให้แฟนหนังบ้านเราได้ชมกันแล้ว สำหรับ Monstrum พันธุ์อสูรกลาย หนังแอคชั่นสยองขวัญผสมไซไฟผลงานการกำกับของ ฮูจองโฮ ที่ได้รวมเอานักแสดงมากฝีมือของวงการบันเทิงเกาหลีมาร่วมตามล่าอสูรร้ายในสมัยโชซอน นำโดย คิมมย็องมิน, ชเวอูชิก และ อีฮเยรี รีวิว Monstrum

เรื่องย่อ

“อสูรร้ายในตำนานได้ทำให้ผู้คนบนเขาอินวังซานต้องหวาดผวา” ในช่วงแห่งราชวงศ์โชซอน โรคระบาดได้แพร่กระจายเข้าสู่ผู้คน เกิดภาวะแร้นแค้นทั่วทั้งเมือง ผู้คนต้องตื่นกระหนกเมื่อมีข่าวลือถึงอสูรร้ายแห่งบรรพกาลออกมาไล่ฆ่ามนุษย์บนภูเขาอินวังซาน ชาวเมืองเริ่มต่อต้านองค์จักรพรรดิ เพราะคิดว่าพระองค์จะไม่สามารถปกป้องพวกตนได้ พระองค์จึงมอบหมายให้ ยุน กยอม อดีตองครักษ์ประจำราชวงศ์ ออกไปสืบหาความจริงและล่าอสูรร้ายตัวนั้นก่อนที่การต่อต้านจะรุนแรงเกินควบคุม แต่หารู้ไม่ว่าอสูรร้ายตัวนั้นอาจเป็นภัยอันตรายที่สามารถทำลายเมืองให้ย่อยยับ

หนังเกาหลีกล้าคิดกล้าลองเล่นใหญ่ไม่แพ้ฮอลลีวู้ดมีมาให้เห็นกันเรื่อย ๆ ดีบ้าง เลวบ้าง มีผสมกันไป แต่ลองมีฉากดราม่าพี่เกาแกไม่เคยพลาดสักเรื่อง เรียกว่าทางของเกาเลยทีเดียว สำหรับ Monstrum หรือ พันธุ์อสูรกลาย (ตั้งชื่อได้เท่และน่าสนใจจริง) นั้นเป็นผลงานการกำกับของ ฮัว จงโฮ ที่นาน ๆ ถึงจะทำหนังออกมาสักเรื่อง

และเมีผลงานรวมเรื่องนี้ก็เพียง 3 เรื่องถ้วนเท่านั้น จึงไม่แปลกที่คอหนังบ้านเราน่าจะไม่รู้จักเขานัก ถ้าย้อนไปดู 2 เรื่องก่อนหน้า จงโฮ เป็นผู้กำกับที่ถนัดและชื่นชอบในการเล่นกับปริศนาการไขความลับ ไม่ว่าจะเป็นนักสืบจำเป็นผู้ที่กำลังจะตายจากมะเร็งตับและต้องสะกดรอยตามใครบางคนตามข้อแลกเปลี่ยนของผู้บริจาคตับ

ซึ่งขณะนี้ติดคุกอยู่ ในหนัง Countdown (2011) หรือทนายความผู้ลื่นเป็นปลาไหลผู้ถือคติ ถ้าไม่ชนะก็จงย้ายข้างไปอยู่กับผู้ชนะ จนมีอัตราความสำเร็จในการว่าความ 100% แต่ต้องมารับคดีฆาตกรรมที่ไม่มีทั้งหลักฐานและศพ? ใน The Advocate: A Missing Body (2015) ด้วย

แม้ตัวหนังจะดูเป็นหนังสัตว์ประหลาดแนวพีเรียด คล้าย ๆ ผีห่าอโยธยา ที่บ้านเราทำ แบบหาช่องโหว่ในบันทึกประวัติศาสตร์ มาจินตนาการต่อเติม แต่ที่น่าชื่นชม จงโฮ เพราะนอกจากเอาอสูรมาเล่นกับเรื่องระบาดในอดีต ยังเอาแกนกลางเอาเรื่องดราม่าแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างกษัตริย์กับมหาเสนาบดีมาเป็นพื้นด้วย ยิ่งทำให้หนังมีของให้เล่นมากกว่าแค่สู้กับสัตว์ประหลาดแล้วจบไป ทั้งเกมการเมือง การยุยงปลุกปั่น การสืบคดีว่าฝีมือคนหรือปีศาจ หรือโรคระบาดกันแน่ ก็สนุกมาก

นอกจากซีจีสัตว์ประหลาดที่ดีตามมาตรฐานเกาหลีแล้ว ด้านทีมนักแสดงก็ยังได้ดารามากฝีมืออย่าง คิมมยองมิน ที่เคยได้รางวัลนักสแดงชายยอดเยี่ยมของเกาหลีจากหนัง Closer to Heaven (2009) มารับบทนำอย่างหัวหน้าชุดสืบสวน ยุน กยอม  นอกจากนั้นยังสมทบด้วย คิม อิน ควอน นักแสดงสมทบชายจากหนังสึนามิถล่มอย่าง Haeundae (2009) ด้านดาวรุ่งก็มีทั้ง ชเว วู-ชิค ที่คุ้นหน้าจากทั้ง Train to Busan (2016) และหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง Okja (2017) และที่พลาดไม่ได้เลยดอกไม้ป่าหนึ่งเดียวท่ามกลางชายหนุ่มและอสูรก็ได้ นักแสดงและนักร้องจากวง Girl’s Day อย่าง ฮเยริ มารับบทนำครั้งแรกบนจอเงินด้วย เด็ด!

ตัวบท

ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์โชซอน โรคระบาดได้แพร่กระจายเข้าสู่ผู้คน เกิดภาวะแร้นแค้นทั่วทั้งเมือง ผู้คนต้องตื่นตระหนกเมื่อมีข่าวลือถึงอสูรร้ายแห่งบรรพกาลออกมาไล่ฆ่ามนุษย์บนภูเขาอินวังซาน ชาวเมืองเริ่มต่อต้านองค์จักรพรรดิ เพราะคิดว่าพระองค์จะไม่สามารถปกป้องพวกตนได้ พระองค์จึงมอบหมายให้ ยุน กยอม อดีตองครักษ์ประจำราชวงศ์ ออกไปสืบหาความจริงและล่าอสูรร้ายตัวนั้นก่อนที่การต่อต้านจะรุนแรงเกินควบคุม แต่หารู้ไม่ว่าอสูรร้ายตัวนั้นอาจเป็นภยันตรายที่สามารถทำลายเมืองให้ย่อยยับ

ข้อพิจารณา

ความน่าสนใจของ MONSTRUM คือการเล่าเรื่องแบบ Mass สุดๆ ให้สนุก ดูง่าย ในบรรยากาศการสืบสวนสอบสวน และสร้างความสงสัยแก่คนดูว่าแท้จริงเป็นฝีมือของคน หรือ อสูรในข่าวลือ ซึ่งส่วนหนึ่งสภาพศพนั้น ฉีกขาดเหวอะหวะ ส่วนอีกส่วนนั้นกลับมี อาการพุพอง เป็นตุ่มประหลาด ซึ่งเหมือนการตายนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ครอบครัวของ ยุน กยอม ต้องร่วมมือกันไขปริศนา

ข้อติงก็มีบ้างตรงหลากรสไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง เลยอาจไม่เข้มขึงขังดาร์กมากนัก คอหนังโหดอาจไม่เต็มอารมณ์ แต่การมีมุกตลก มีฉากกุ๊กกิ๊กที่มาช่วยบรรเทาหลายช่วงก็ดีตรงหนังบันเทิงขึ้นดูง่ายขึ้น แต่ก็คงไม่ถูกใจสายแมสโลกสวยมากนักอีก เพราะพี่แกจัดฉากโหดร่างคนฉีกขาดให้เห็นตลอดเรื่องเช่นกัน

จุดเด่น

จุดเด่นของหนังที่ผู้เขียนชอบ คือการผูกพลอตเรื่อง  ‘อสูร’ ว่ากันตามแบบตรงไปตรงมาตามตัวอักษร ‘อสูร’ ก็คือสัตว์ประหลาดร่างมหึมาที่โหดร้ายตามสัญชาติญาณสัตว์  กับ ‘อสูร’ ที่เป็นความหมายนัย ซึ่งก็คือมนุษย์ที่โหดร้ายเข่นฆ่าผู้คนแบบไร้สติไม่ต่างจากสัตว์ร้าย  การกลายพันธุ์ของอสูร
เป็นการเพิ่มดีกรีความน่ากลัว แบบคาดเดาไม่ได้ไปอีกชั้น  แต่อสูรที่เป็นนัย เมื่อกลายพันธุ์ก็ยิ่งน่ากลัวในความซับซ้อนทางความคิด เล่ห์เพทุบาย เพราะสติปัญญาที่สูงกว่า แต่ท้ายสุดก็ประมาทว่าตนจะเหนือกว่าใครๆแม้แต่สัตว์ร้ายได้  จึงต้องจบสิ้นไปกับกรรมที่ตามมาทัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ชมไม่ได้ก็คืองานวิชวลเอฟเฟกต์ซีจีที่สมจริงมาก ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เท่างานสร้างฮอลลิวูด แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้น่าดู เป็นธรรมชาติ และมีความสมจริงมากทีเดียว โดยเฉพาะตัวอสูรที่ดูแล้วน่าเกลียดน่าขยะแขยงมากๆ เลย ประกอบกับความสนุกครบรส ดรามา โรแมนติกนิดๆ และฉากแอคชั่นสุดสยองที่อยู่ในหนังแทบทั้งเรื่องนั้นเรียกได้ว่าทำออกมาสนุกและโหดจัดเต็มมาก เลือดสาดแทบทะลุออกมานอกจอเลยทีเดียว ซึ่งหากได้ดูในระบบ 4DX น่าจะถึงใจถึงอารมณ์เสมือนเป็นตัวละครในเรื่องเลยก็ว่าได้
รีวิว Monstrum

โดยรวม

โดยรวม ดูหนังได้มาตรฐานของอรรถรสครบตามสไตล์พลอตฮีโร่ปราบสัตว์ร้าย คู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าทุกด้าน ไม่ว่าจะขนาด พละกำลัง ความโหดจากสัญชาติญาณสัตว์ป่า มีเพียงสติปัญญาและความกล้าเท่านั้นที่จะใช้รับมือและพิชิตมันได้ ซึ่งก็จะมีฉากลุ้นๆอยู่เยอะพอควร ลุ้นตื่นเต้นบ้าง แฝงฮาบ้าง ผ่อนคลายความตึงเครียดในซีนหน้าสิ่งหน้าขวานได้ดีเหมือนกัน ซีจีจัดเต็มเพื่อความตื่นเต้นเร้าใจสมจริง
ช่วงแรกของหนังก็ได้รสชาติของปริศนา สืบสวน ที่ชวนสงสัยและลุ้นติดตาม ใคร่รู้ว่า อสูรร้ายตัวนี้มีจริงไหม หน้าตาเป็นเช่นไร ส่วนคำถามที่คนอยากรู้ก่อนชมคือ มันเป็นสัตว์อะไร ถ้าดูจากโปรแกรมหนังในเทรลเลอร์คงเห็นว่า ดีไซน์คงมีจินตนาการมาจากตัว เซี่ยจื้อ (獬豸: Xie Zhi) หรือคนเกาหลีเรียกว่า แฮแท  (Haetae) หน้าตาเป็นสิงต์โตมีเขา เกาหลีนำไปใช้ทำแมสคอต แฮชิ (Haechi) ที่เป็นสัญญลักษณ์กรุงโซลด้วย

ถ้าถามหาความเข้มข้นของอารมณ์ของหนัง อาจดูอ่อนไปนิด เพราะไม่ได้ขยี้บทใดเป็นพิเศษ แตะๆเกลี่ยๆไป และมีความเป็นสูตรสำเร็จที่เดาทางได้สำหรับผู้ชมที่ช่ำชองงานสายนี้  การให้ที่มาที่ไปของแต่ละเรื่องก็มาครบนะ แต่อาจไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก ดังนั้น ถ้าดูแบบไม่คิดมาก ไม่เค้นเอาความถึงกึ๋นถึงใจ
ผู้เขียนก็ว่าเรื่องนี้ให้ความบันเทิงในระดับที่ใช้ได้อยู่นะ คุ้มค่าชมค่ะ งานซีจีก็เยอะดี เนี๊ยบตั้งใจดี แต่ในอีกมุม อาจเพราะซีจีฉากของสัตว์ประหลาดกระหน่ำเยอะมากไป จนทำให้ความขลังน่ากลัวลดไปบ้างในช่วงหลังๆ คือดูจนชินตาซะก่อนจะได้พีคจบเรื่อง 555

สุดท้าย

สำหรับเรื่องนี้ไทยถือว่าได้ดูต่อจากเกาหลีกันทีเดียวเพราะตัวหนังเพิ่งเข้าโรงที่เกาหลีเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมานี่เอง แม้จะไม่ได้เปิดตัวหวือหวาอยู่ที่อันดับ 2 ที่เกาหลีแต่ก็ได้รับการกล่าวถึงไม่น้อยทีเดียว ก็ถือว่าเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่จะได้ชมหนังสัตว์ประหลาดในสไตล์เอเชียย้อนยุค หลังจากเมื่อหลายปีก่อนเคยมีหนังอย่าง The Great Wall (2016) หนังจีนที่จับมือกับฮอลลีวู้ดเคยออกมาโลดแล่นแล้ว ใครติดใจน่าจะต้องจัดเรื่องนี้เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น