วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2563

The First Purge

หนัง HD

รีวิว The First Purge - ปฐมบทคืนอำมหิต

การกลับมาครั้งนี้ของThe First Purge จึงพาคนดูย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของการล้างบาปที่อยู่ในช่วงทดลองเท่านั้น กับการก่ออาชญากรรมทุกประเภทสามารถกระทำได้ใน 12 ชั่วโมงแบบไม่มีความผิด รีวิว The First Purge

เรื่องย่อ

เบื้องหลังทุกขนบ ย่อมแฝงไปด้วยการปฏิวัติ ในวันชาติอเมริกาปีนี้ เราจะได้เป็นพยานเฝ้าดูช่วงเวลา 12 ชั่วโมงที่ไร้กฎหมายเป็นประจำทุกปี ขอต้อนรับสู่การปฏิวัติที่เริ่มต้นด้วยการเป็นการทดลองแบบง่ายๆ ใน The First Purge เพื่อลดอัตราการก่ออาชญากรรมตลอดทั้งปีให้เหลือต่ำกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ กลุ่มบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งอเมริกายุคใหม่ (NFFA) ได้ทดสอบทฤษฏีเชิงสังคมวิทยาที่ให้ผู้คนได้ปลดปล่อยความก้าวร้าวออกมาเป็นเวลาหนึ่งคืนในชุมชนที่ห่างไกล แต่เมื่อความรุนแรงของผู้กดขี่ปะทะกับความกราดเกรี้ยวของคนที่ตกเป็นเบี้ยล่าง แนวคิดนี้จึงแพร่ระบาดจากเมืองบ้านนอกที่ถูกใช้เป็นหนูทดลอง และแพร่กระจายไปทั่วประเทศ

จบไตรภาคไปแล้ว กับหนังสยองขวัญที่ว่าด้วยเทศกาลคืนอำมหิตที่เกิดขึ้นทุกปีในโลกอนาคตอันใกล้ ให้ชาวอเมริกันออกมาปล้น ฆ่า ข่มขืน กันโดยถูกกฏหมายในระยะเวลา 12 ชั่วโมง The Purge เป็นแฟรนไชส์หนังสยองขวัญน้อยเรื่องที่ประสบความสำเร็จมาได้ถึงเพียงนี้ จากทุนสร้างเพียงน้อยนิด แล้วรายได้ทุกภาคกลับมากขึ้น มากขึ้น

แม้กระทั่ง The First Purge ที่เป็นภาคที่ 4 ของแฟรนไชส์นี้ ที่ออกฉายในอเมริกาไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ก็ทำรายได้แซงหน้าทุกภาคไปแล้วถึง 127 ล้านเหรียญ และยังไม่ลาโรงด้วย รวม 4 ภาคหนังทำเงินไปถึง 447 ล้านเหรียญ เดือนหน้านี้หนังก็แตกแขนงไปเป็นทีวีซีรีส์อีกด้วย The First Purge ก็เปรียบได้กับภาคแยกเช่นกัน เพราะกลับมาเล่าเหตุการณ์คืนล้างบาปในปีแรก กับตัวละครชุดใหม่ทั้งหมด ผู้กำกับใหม่ แต่บทยังคงเป็นฝีมือของ เจมส์ เดอโมนาโค ผู้ให้กำเนินแฟรนไชส์นี้เช่นเดิม

The First Purge ทำหน้าที่ในฐานะผู้เริ่มต้นซีรีส์ใหม่ในจักรวาล The Purge หนังย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ในคืนล้างบาปปีแรก ที่จำกัดพื้นที่แค่บริเวณเกาะเสตทเท็น เพื่อเป็นโปรเจ็กต์นำร่อง ก่อนที่จะขยายครอบคลุมทั้งประเทศในปีถัดมา หนังเริ่มต้นเรื่องในช่วงใกล้ ๆ จะถึงคืนล้างบาป ลากยาวไปจนถึงนาทีสุดท้ายของคืนอำมหิตนี้ เมื่อเริ่มต้นใหม่ก็ต้องมีการแนะนำตัวละครชุดใหม่ทั้งหมดทั้งทางฝั่งประชาชนและทางฝั่งรัฐบาล

ตัวละครหลักของเรื่องคือ ดิมิทรี่ หัวหน้าแก๊งค้ายาที่มาในมาดสุดเท่ และนางเอกคือ ไนย่า อดีตแฟนของดิมิทรี่ ที่ยังคงมีเยื่อใยอันดีต่อกันแต่เธอบอกลาดิมิทรี่เพราะไม่พอใจกับโลกด้านมืดของเขา และอิไซย่าห์ น้องชายวัยรุ่นของไนย่า ที่อยู่ในวัยห้าวและกำลังเดินเข้าสู่วงการค้ายา

ส่วนฝั่งของรัฐบาลที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นตัวร้ายของเรื่อง จะมีหนึ่งเดียวคือ อาร์โล ซาเบียน หัวหน้าคณะผู้ควบคุมดูแลโปรเจ็กต์คืนล้างบาปครั้งแรกนี้ และเขาก็ทำงานประกบคู่กับ ดร.อัปเดล ผู้คิดค้นทฤษฏีคืนล้างบาปนี้ขึ้นมา บทนี้รับบทโดย มาริสา โทเม ที่มาในลุคที่แตกต่างจาก “ป้าเมย์” ที่หลาย ๆ คนหลงรักจาก Spiderman มาก และเป็นดารามีชื่อเสียงคนเดียวในเรื่องนี้ เพราะทีมงานมั่นใจว่าชื่อ The Purge สามารถเรียกคนดูได้โดยไม่ต้องจ้างดาราค่าตัวแพงมาดึงคนดู

เจมส์ เดอโมนาโค ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ The Purge และเป็นผู้กำกับไตรภาคแรก ลดหน้าที่ตัวเองเหลือแค่เขียนบทในภาคนี้แล้วส่งไม้ต่อให้กับ เจอราร์ด แม็คเมอร์เรย์ ผู้กำกับหน้าใหม่ บทของเจมส์ ถือว่าน่าชื่นชมครับที่เล่าเรื่องราวมาถึงภาคที่ 4 แต่ก็ยังไม่หมดมุก หากลเม็ดต่าง ๆ มาเสริมให้แต่ละภาคมีเรื่องราวที่น่าสนใจ

อย่างภาคนี้ได้เปรียบตรงที่ว่า ไม่ต้องมีการปูความถึงความโหด โฉดของคืนอำมหิตนี้อีกแล้ว แต่ได้ความสนใจแฟนหนังที่เคยติดตามแฟรนไชส์นี้มาก่อน ให้มาลงลึกถึงเหตุการณ์ในคืนล้างบาปครั้งแรก ว่าหนัง HDเริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไร และสามารถขยายกลุ่มคนดูให้กว้างขึ้นได้ เพราะใครที่ไม่เคยดู The Purge มาก่อน ก็สามารถเริ่มต้นกับภาคนี้ได้ง่าย เพราะเรื่องราวไม่มีการโยงใยกับไตรภาคก่อนหน้าแต่อย่างใด
ไอเดียใหม่ที่เติมเข้ามาในภาคนี้ได้อย่างน่าสนใจคือการเล่าเรื่องราวแบบหนังสยองขวัญ โดยมีแบคกราวด์ของเรื่องเป็นเกมการเมืองที่สกปรก เราได้เห็นความร้ายกาจของ New Founding Fathers of America ในหนังตั้งชื่อไทยให้ว่า พรรคพัฒนาชาติใหม่ ที่เจาะจงเลือกเกาะเสตทเท็นเป็นเป้าหมายแรก เพราะเป็นแหล่งรวมของคนผิวสีที่มีฐานะยากจน

รีวิว The First Purge

ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกของพรรคที่อยากกำจัดกลุ่มคนพวกนี้ออกจากสังคม ทางพรรคจึงใช้เงินในการดึงคนเหล่านี้ให้อยู่บนเกาะในคืนล้างบาป และถ้าออกไปร่วมกิจกรรมล้างบาปด้วยการอาละวาด เข่นฆ่าผู้คน ก็จะได้ค่าตอบแทนมากขึ้น โดยทางพรรคมีมอนิเตอร์ผ่านคอนแทคเลนส์ของแต่ละคนเพื่อติดตามการเคลื่อนไหว ดูหนังผ่านเน็ตและเจ้าคอนแทคเลนส์เรืองแสงนี่ล่ะ ที่เป็นตัวเสริมความสยองให้กับหนัง เพราะมันเรืองแสงในที่มืด ยิ่งทำให้เหล่าคนกระหายเลือดที่ออกมาเพ่นพ่านในคืนล้างบาปนั้นดูเหมือนอสุรกาย

วิจารณ์

แล้วเราก็ได้ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ในวันที่อเมริกาประสบปัญหาโน่นนี่นั่น จนวันหนึ่งการเมืองก็ชักพานโยบายที่แปลกใหม่แต่สุดโต่งเข้ามา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการ ‘Purge’ ล้างบาปด้วยการสังหารกัน ก่ออาชญากรรมกันได้ทุกประเภท โดยไม่ผิดกฏหมาย เป็นเวลา 12 ชั่วโมง…

ด้วยไอเดียความคิดในแนวทางเดียวกับทานอส เมื่อเอาไม่อยู่ก็ลดจำนวนประชากรมันซะเลย แต่จะให้เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนก็คงต้องมีการทดลองกันก่อน จึงเลือกพื้นที่บางส่วนที่เหมือนจะมีแต่ประชากรคนผิวดำซะเป็นส่วนใหญ่ มีการเก็บข้อมูล และก็มีการแทรกแซงบางอย่าง

ความสุดโต่ง

มันก็ได้ผลพอสมควรนะ ทำให้คนดูรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ แม้จะไม่ได้รู้สึกเห็นด้วยเลยก็ตามกับการเลือกตัดสินใจกระทำนโยบายดังกล่าวก็ตาม ไปๆ มาๆ เรากลับพบความลุ้นแกมสาแก่ใจในช่วง 1 ใน 3 ส่วนท้ายของหนัง ที่ปรับเปลี่ยนจากฉากหลบๆ ซ่อนๆ หนีๆ ธรรมดา กลายเป็นสมรภูมิแห่งการเอาตัวรอดขนาดย่อมๆ ไปได้

รู้สึกต่อต้านในใจว่า นโยบายนี้มันช่างโหดร้ายและอยุติธรรมดีแท้ แต่เห็นเบื้องหลังบางอย่างในกระบวนการแล้ว มันก็ทำให้คนดูอย่างเรารู้สึกอยากเทไปยังอีกฝั่งเสียมากกว่า

สีสัน

ตัวที่เป็นสีสันให้กับหนังอย่างมากคือ สเกเลเทอร์ หนุ่มผิวสีโรคจิต ใบหน้ามีแต่รอยแผลเป็น เวลาพูดแสยะยิ้ม น้ำลายฟูฟ่อง ดูเต็มไปด้วยความโรคจิตและบ้าเลือดมาก เมื่อใส่คอนแทคเลนส์เรืองแสงเข้าไปยิ่งทำให้ดูน่ากลัวสุด ๆ พอเริ่มต้นคืนล้างบาปยิ่งทำให้สเกเลเทอร์ เหมือนเด็กที่ได้ลงสนามเด็กเล่น กลายเป็นอสุรกายบ้าเลือดที่น่ากลัวสุดสำหรับภาคนี้

และยิ่งหนังปูเรื่องไว้ว่าสเกเลเทอร์มีความบาดหมางกับอิไซยาห์มาก่อนหน้าแล้ว ก็ทำให้การไล่ล่าระหว่างสเกเลเทอร์ กับอิไซย่าห์ เป็นอีกประเด็นที่น่าติดตามในหนังภาคนี้ แต่ด้วยเหตุที่ว่าหนังมีตัวละครมากหน้า และประเด็นให้พูดถึงมาก ทำให้บทของสเกเลเทอร์ถูกลืมหายไปในช่วงท้ายของหนัง
ทุกสถานการณ์ที่เจมส์ได้วางไว้ ก็ถูกบิดเกลียวให้ตึงเครียดได้มากขึ้นในทุก ๆ นาทีที่หนังเดินหน้าไป ก็เป็นจุดที่น่าชื่นชมในฝีมือการเขียนของเจมส์ เมื่อตัวละครหลักทั้งดิมิทรี่ อิไซย่าห์ และ ไนยา จากที่ต่างก็ดำเนินวิถีทางของตนเองในคืนอำมหิตแล้วก็มารวมกลุ่มกันในตอนท้าย ความตึงเครียดของหนังก็มาถึงจุดสูงสุดในไคลแมกซ์พอดี ถือว่าเป็นไคลแมกซ์ของหนังที่ทั้งมันส์ ทั้งลุ้น ทำออกมาได้สนุกมากเรื่องหนึ่ง

หนังมีองค์ประกอบที่เอาใจคนดูครบ ทั้งในด้านหนังสยองขวัญที่ก็ตอบสนองด้วยฉากโหด แทง กระซวก ปาดคอ หักคอกัน จ่อกบาลยิงกันเลือดกระฉูด นับว่าภาพรุนแรงตามแบบฉบับหนังโหด มีเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ท้ายเรื่องกับการเปิดเผยตัวตนของกลุ่มบุคคลลึกลับติดอาวุธหนักที่เข้ามาร่วมวงคืนล้างบาปนี้ด้วย แล้วกลุ่มนี้ก็ยกระดับเป็นตัวร้ายมากพิษสงของเรื่อง

กลุ่มคนดูผู้ชายที่ชอบหนังแอ็คชั่นน่าจะมันส์สะใจกับฉากรบท้ายเรื่อง ที่จัดหนักทั้งปืนกลสาดกระสุนกันว่อน และระเบิดมือที่ประสิทธิภาพโคตรน่ากลัว ฉากที่ชอบมากคือฉากต่อสู้มือเปล่าของดิมิทรี่กับกลุ่มทหารลึกลับ 3 คน บนขั้นบันไดหนีไฟ ออกแบบท่าทางการต่อสู้ออกมาดูรุนแรงหนักหน่วงสมจริงมาก

สรุป

หนังจบแบบค่อนไปทางแฮปปี้นะครับ สานต่อภาคต่อไปได้สบาย ๆ รายได้ 127 ล้าน จากทุนสร้างจุ๋มจิ๋มเพียง 13 ล้าน ก็เป็นหลักประกันแล้วว่าหนังประสบความสำเร็จเพียงใด มันคือหนังตลาดที่สร้างมาเอาใจตลาดนะครับแล้วก็ตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้ครบถ้วน อยากเห็นฉากโหดได้เห็น อยากมันส์ก็ได้มันส์ ฉากลุ้น สะดุ้งตุ้งแช่มีครบ ในเวลาพอเหมาะพอเจาะ 98 นาทีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น