วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2563

The Pool – นรก 6 เมตร

ดูหนัง

รีวิว The Pool – นรก 6 เมตร

ก่อนอื่นอยากชมผู้กำกับอย่าง พิง ลำพระเพิง โยงเก่ง ผูกเรื่องเก่ง เขาได้สร้างสรรค์ ครีเอตเรื่องราวความบรรลัย อุบัติเหตุ เรื่องบังเอิญต่างๆ ร้อยเรียงให้มาเป็นเรื่องราวความซวยซ้ำซวยซ้อนของเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หนังเต็มไปด้วยอุบัติเหตุ เรื่องราวความบังเอิญ ความซวย ซะจนนี่นึกว่า นั่งดู Final Destination อยู่ เพียงแต่ไม่ใช่เกิดเหตุแล้วตาย แต่เกิดเหตุแล้วซวยแทน รีวิว The Pool

เรื่องย่อ

“เดย์” (เคน ธีรเดช ) ฝ่ายอาร์ตกองถ่ายโฆษณา ถูกทิ้งให้อยู่โยงเคลียร์สระกระโดดน้ำร้างแต่เพียงลำพังหลังเลิกกอง ด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาทั้งคืน เดย์เผลอหลับบนแพยาง โดยไม่ทันตระหนักว่าเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายที่เพิ่งกลับไป ได้เปิดระบบปล่อยน้ำในสระออกไปแล้ว และเมื่อเดย์รู้สึกตัวอีกที เขาพบว่าระดับน้ำได้ลดลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถปีนขึ้นจากสระได้ เดย์พยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไร้เสียงตอบรับใดๆ “ก้อย” (เกรซ รัชย์ณมนทร์ ) แฟนสาวของเดย์ ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เขาที่สระ ด้วยการโดดลงมาหาจากแท่นกระโดด โดยไม่ทันได้สังเกตระดับน้ำ ซึ่งเสียงตะโกนห้ามของเดย์ ทำให้ก้อยเสียจังหวะ พลาดตกลงไปในสระจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ในขณะที่ทั้งคู่กำลังอับจนหนทาง และเฝ้าปลอบใจตัวเองว่า “คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว” จระเข้ตัวเขื่อง ที่มาจากไหน ไม่มีใครรู้ กลับกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้า ๆ นอกจากการเอาชีวิตรอด จากสระลึก 6 เมตร ที่ไม่มีน้ำ ไม่มีบันได และไม่มีทางออกแล้ว บทเริ่มต้นของ “มัจจุราชเงียบ” ที่แท้จริงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

หนังไทยช่วงปีกว่า ๆ นี้มีพลอตแหวก ๆ มาให้ตลาดคนดูไทยรู้สึกมีความหวังกันหลายต่อหลายเรื่องเลย ตั้งแต่ ฉลาดเกมส์โกง หรือจะเป็น App War แอปชนแอป  ตลอดจนหนังสารคดีที่ขึ้นมาตลาดบนได้น่าชื่นชมอย่าง BNK48 Girls Don’t Cry และ 2,215 เชื่อบ้ากล้าก้าว ก็น่าภูมิใจ และล่าสุดก็มีหนังสไตล์เซอร์ไววัลหนีตายจากสัตว์ร้ายในพื้นที่ปิดซึ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นในหนังไทยอย่าง The Pool นรก 6 เมตร นี่ล่ะ น่าสนใจในความกล้าแหวก

นี่เป็นการกลับมาหลังจากหายไปนานของทั้งผู้กำกับอย่าง พิง ลำพระเพลิง หลังจากหายไปร่วม 4 ปีหลังจากหนังอย่าง ปอบหน้าปลวก (2557) และนักแสดงนำชายยอดนิยมอย่าง เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ที่หายไปจากวงการหนังกว่า 9 ปีหลังจาก รถไฟฟ้า มาหานะเธอ (2552) 

และเป็นการมาร่วมมือกันครั้งแรกภายใต้ค่ายหนังกล้าทำอย่าง T Moment ซึ่งปีนี้มีหนังลงโรงหลายเรื่องเลยก่อนหน้านี้ก็เพิ่งปล่อย App War แอปชนแอป ที่โดนใจคอหนังไทยคุณภาพกันไปหลายคน มาเรื่องนี้ก็เป็นการยืนยันล่ะว่าค่ายทีโมเม้นท์ นี่เขากล้านำหนังไทยอย่างสร้างสรรค์จริง ๆ

หนังเล่าเรื่องได้กระชับแค่ 91 นาที ใส่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง และกระหน่ำซ้ำเติมความซวยให้ตัวละครอย่างไม่ยั้งมือ คือซวยจนเราสงสาร ทั้งที่เราไม่ได้อินกับอาชีพพระเอกหรือเอาใจช่วยคู่รักคู่นี้นักในตอนเริ่ม แต่พอหนังมันเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็เกิดสงสารทั้งคู่จับใจเลย คนอะไรมันจะซวยได้เบอร์นี้

ซึ่งไอ้เหล่าสถานการณ์พาซวยทั้งหลายมันก็ผสมปนเปนะ ทั้งที่ดูคิดมาดีฉลาดและรู้สึกเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริง ๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญซวย จนถึงความซวยที่เราต้องอุทานเชี่ยไรมรึงเนี่ยออกมา ซึ่งบางคนอาจไม่ชอบอย่างแรง แต่มองในแง่ความบันเทิง มันได้ลุ้นและได้ฮอาในความตลกร้ายของมันอย่างไม่น่าเชื่อนะ ดูให้บันเทิงนี่จะมีความสุขมาก และขอยืนยันว่าตอนท้ายนี่โคตรตลกร้าย สบถกันลั่นโรง เชี่ยยยยย 55555

จากการที่ดูต้องบอกว่านี่คือการแสดงที่น่าชื่นชมแบบทุ่มสุดตัวของเคนจริง ๆ  คงมีพระเอกหน้าหล่อไม่กี่คนหรอกที่จะเล่นสตั้นท์ด้วยตัวเอง ทั้งล้มลุกคลุกคลานถูลู่ถูกังไปกับพื้นกระเบื้องแตก ๆ ชองสระว่ายน้ำ แถมต้องโดนสลิงห้อยเหวี่ยงสะบัดแบบนี้ ทั้งฉากอารมณ์ที่ต้องถ่ายทอดความสิ้นหวัง

โดยเฉพาะฉากอารมณ์กับเกรซนี่พลังดีมากทั้งเคนทั้งเกรซเลย เสียดายที่ฉากให้ปล่อยของมีไม่มาก และจะบอกว่าเคนต้องใช้ประสบการณ์การแสดงเพื่อแบกหนังทั้งเรื่องก็ไม่ผิดนัก เพราะทั้งเรื่องมีอยู่ไม่กี่ตัวละคร และก็เป็นการตัดสินใจถูกของค่ายหนังที่ได้เคนมาจริง ๆ

ที่ต้องชื่นชมต่อคือความตั้งใจของทีมสร้างหนัง คือเรารู้ล่ะว่าหนังตั้งใจให้สมจริงมากขนาดว่าผู้กำกับพิงเลือกถ่ายด้วยจระเข้จริงที่ยังติดดุตามธรรมชาติเพราะเลี้ยงในบ่อดิน ไม่ได้เซื่อง ๆ แบบพวกจระเข้บ่อฟาร์ม แล้วเอามาเข้าฉากโดยยุให้มันกราดเกรี้ยวเข้าอีก แต่นอกจากนั้นหนังยังเพิ่มความเหี้ยมด้วยซีจีให้จระเข้ดุดันยิ่งไปอีก

โดยได้ Riff Studio ที่มาแรงมากในฐานะสตูดิโอทำเทคนิคพิเศษด้านภาพ ที่ล่าสุดก็มีงานฉากต่อสู้ใน 9 ศาสตรา เป็นการันตีอยู่แล้วด้วย แต่พูดกันตามตรงคือตัวซีจียังไม่ได้ทำงานได้ดีอย่างที่ตั้งใจ ด้วยงบแบบหนังไทยก็คงทำเนี้ยบยาก แต่ก็นั่นล่ะบางทีฉากที่ใช้จระเข้จริงมามันทรงพลังในความสมจริงกว่าเยอะมาก มันมีความเป็นสัตว์ที่เดาทางไม่ได้ ถึงไม่ต้องกราดเกรี้ยวแค่ยืนนิ่ง ๆ เราก็รู้สึกได้มากพอแล้ว
ในขณะที่จระเข้ซีจีอาจได้เปรียบในแง่การสื่อสารอารมณ์และฉากสตันท์ต่าง ๆ ที่ทำได้มากกว่า แต่มันทำให้เรารู้สึกเดาทางออกไปหมด เพราะมันเอาความเป็นคนไปใส่ในสัตว์ทั้งอารมณ์ความคิดหลักคิดเหตุผลแบบคนเลย เราเลยรู้ล่วงหน้าไปหมด

ตรงนี้คิดว่าทีมหนังคงชั่งข้อดีข้อเสียจนออกมาทางนี้ล่ะ แต่ก็เสียดายนะที่พลังมันลดไปเยอะ อยากให้พี่พิงใช้ของจริงให้หมดซะเลย แล้วใช้ซีจีแค่ที่จำเป็นจริง ๆ ตามความตั้งใจเดิมพอ แต่แบบนั้นหนังอาจบันเทิงน้อยลงล่ะนะ

วิจาร์ณ

เห้ย เห้ย เห้ย!!! อยากบอกตัวละครตัวนี้ว่า “ควรทำบุญซะนะ” เรียกได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมาจากความซวยล้วนๆ คนอะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดน๊านนนนนน!!!
อยากถามเฮียพิง ลำพระเพิงครับว่า “เฮียสร้างสระให้คนอยู่ แล้วลบบันไดออกใช่ไหม เฮียเอาน้ำออก เฮียใส่จระเข้ลงไปอีก” “เฮียได้แรงบันดาลใจเรื่องนี้มาจาก The Sims ใช่ไหม!!!”
ก่อนอื่นอยากชมผู้กำกับอย่าง พิง ลำพระเพิง โยงเก่ง ผูกเรื่องเก่ง เขาได้สร้างสรรค์ ครีเอตเรื่องราวความบรรลัย อุบัติเหตุ เรื่องบังเอิญต่างๆ ร้อยเรียงให้มาเป็นเรื่องราวความซวยซ้ำซวยซ้อนของเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หนังเต็มไปด้วยอุบัติเหตุ เรื่องราวความบังเอิญ ความซวย ซะจนนี่นึกว่า นั่งดูหนัง Final Destination อยู่ เพียงแต่ไม่ใช่เกิดเหตุแล้วตาย แต่เกิดเหตุแล้วซวยแทน

รีวิว The Pool


หลายคนสงสัยว่า “จระเข้ มาจากไหน?” ในส่วนนี้หนังได้ให้เหตุผลตรงนี้ดีเลยแหละ ค่อนข้างสมเหตุสมผลอยู่ ไม่ติดขัดอะไรเลย เว็บดูหนัง มีเหตุผลพอสมควร (ขอไม่พูดถึง CG ของตัวจระเข้ละกันนะ – -) แต่ไอ้เหตุการณ์ที่มันมาติดสระนี่เหลือเกินจริงๆ…เอิ่ม…ไม่ขอพูดละกัน ไปดูเอาเอง

หนังโคตรบันเทิง เต็มไปด้วยฉากหรือเหตุการณ์ต่างๆ WTF โมเม้นท์เต็มไปหมด เยอะมากกกกกกก จนเราอุทาน “เอ๊า! แบบนี้ก็ได้หรอวะ! อะไรของมันวะ! เอาจริงดิ!” รู้สึกแบบนั้นทั้งเรื่อง! ถึงมันจะเป็นแบบนั้น แต่มันก็รองรับและเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ในหนังได้ทั้งหมด ถึงแม้แต่ละอย่างมันจะเกิดขึ้นมาอย่างโคตรไร้เหตุผลก็ตาม แต่หนังมันก็ดันทำให้เราลุ้น ตื่นเต้น หวาดเสียวได้หลายฉากเหมือนกัน
หนังมีฉากการไทอินที่เราทั้งเกลียดและชอบ เกลียดที่มันแบบ “แบบนี้ก็เอามาไทอินได้หรอว๊า” แต่ชอบตรงที่มันไม่ใช่ไทอินโง่ๆ แต่มันมีชั้นเชิง การไทอินนี้มันมีเรื่องราว มันส่งผลต่อเนื้อเรื่องของหนังได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

ที่ไม่ชอบเลยคือ ตัวละครทั้งสอง ที่ดูเล่นแข็งกันมาก ราวกับนั่งท่องบทกันอยู่ และบทพูดก็ตลกสิ้นดี เช่น ฉากที่ควรดราม่าๆ แต่คุยกันจนทำให้ทั้งโรงฮาไปตามๆ กัน รวมไปถึงการกระทำของตัวละครในหลายๆ ฉากที่ดูขัดใจ๊ขัดใจ ดูโง่เสียเหลือเกิน โดยเฉพาะไอ้จุดเริ่มต้นการติดสระเนี่ยตัวดีเลย
หนังจบแบบดื้อๆ เลย ไม่มีทิ้งฉากสวยๆ คำพูดคมๆ ตัดจบฉึบ! จนคนข้างๆ ถึงกับร้องว่า “เอ๊า จบละหรอ”

สรุป

The Pool นรก 6 เมตร ก็เป็นหนังที่ไม่แย่ สนุกเลยแหละ โยงเรื่องได้โคตรดี จนอยากถามว่า คิดได้ไงฟะ (ในทางที่ดีนะ) แถมมันยังทำให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมได้ แถมมันยังฉีกความเป็นหนังไทยแนวเดิมๆ ที่วนเวียนอยู่กับเรื่องความรัก ตลก ผี มันยังให้เราได้จับต้องหนังแนวใหม่ๆ แนวเอาชีวิตรอดที่ไม่ค่อยได้เห็นแนวนี้ในหนังไทยซะเท่าไหร่ แนะนำให้ไปดูเลยแหละเรื่องนี้ ไม่อยากให้พลาดจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น