รีวิว Homestay - โฮมสเตย์
หนังแนวใหม่จาก GDH ของผู้กำกับหนังสายสยองขวัญไม่ว่าจะเป็น ชัตเตอร์ แฝด สี่แพร่ง ห้าแพร่ง อย่าง ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ซึ่ง Homestay เป็นหนังแนวดราม่า แฟนตาซี ระทึกขวัญกลายๆ ที่เพียงได้ดูตัวอย่างหนังต้องบอกเลยว่าน่าดูมากกกก รีวิว Homestayเรื่องย่อ
เมื่อ "ร่างชั่วคราว" คือรางวัลสุดมหัศจรรย์จากสวรรค์ เขามีเวลา 100 วัน เพื่อเปลี่ยนรางวัลเป็นชีวิต "มึงได้รางวัลนะ" ผู้ชายท่าทางลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ผู้คุม (นพชัย ชัยนาม) บอกผม ในขณะที่เรายืนประจันหน้ากันบนผนังตึกของโรงพยาบาลที่หมุนพลิกราวกับแรงโน้มถ่วงกลับด้าน! ผู้คุมไม่รอให้ผมปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว เขากระชากคอเสื้อผมให้มาฟังคำอธิบายถึงรางวัลที่วิญญาณเร่ร่อนอย่างผมได้รับนั่นก็คือการได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของเด็กม.ปลายที่ชื่อ มิน (ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) ที่นอนนิ่งอยู่ในตู้เก็บศพของโรงพยาบาลแห่งนี้ จะว่าไปการได้มาอยู่ในร่างใหม่ ก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่โฮมสเตย์ คืออยู่ได้แค่ชั่วคราว แถมยังไม่ได้อยู่ฟรีๆ เพราะผมต้องหาคำตอบให้ได้ภายใน 100 วัน ว่า "มินตายเพราะใคร"
ถ้าตอบไม่ได้ ผมจะต้องตายและจากร่างโฮมสเตย์นี้ไปตลอดกาล เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าจะอินกับการอยู่ในร่างโฮมสเตย์นี้ซักเท่าไหร่ การมีครอบครัวใหม่ มีเพื่อนใหม่ ก็ไม่ทำให้หัวใจเต้นแรงเท่าการได้มีความรักครั้งใหม่ ผมได้รู้จักกับ พาย (เฌอปราง อารีย์กุล) พี่รหัสของมิน ผู้หญิงที่ทำให้ผมอยากอยู่ในร่างโฮมสเตย์นี้ตลอดไป แต่เวลา ชีวิต และความรัก เป็นเหมือนรางวัลที่สวรรค์ให้ผมมาแค่ชั่วคราว ผมจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตอบคำถามผู้คุมให้ได้ว่า “มินตายเพราะใคร” ก่อนที่เวลาชีวิตในร่างโฮมสเตย์ของผมจะหมดลง....
ความน่าดูหลัก ๆ ของหนังคงเป็นการเล่นหนังใหญ่ครั้งแรกของ กัปตันเฌอปราง BNK48 หรือ เฌอปราง อารีย์กุล ขวัญใจของใครหลาย ๆ คน ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทุกคนจับตามองหนังเรื่องนี้นอกไปจากว่าเป็นหนัง GDH หนังจากค่ายคุณภาพที่มีแฟนคลับติดตามทุกเรื่องอยู่แล้ว และยิ่งเป็นการแสดงที่เรารับรู้ได้มาก ๆ ว่าเฌอทุ่มเทให้บทนี้ขนาดไหน
ทั้งยังเป็นการพลิกภาพ BNK48 ครั้งสำคัญที่จะมารับบทหนัก ๆ ดราม่า สุด ๆ อย่างนี้ และแน่นอนความแรงของนิยายและบทหนังก็ไม่แน่ใจว่าเหล่าแฟนคลับผู้ชื่นชอบ BNK48 จะมองอย่างไร ว่าเป็นงานหนึ่ง หรือเป็นการละเมิดความรู้สึกแฟน ๆ (อ่านถึงตรงนี้บางคนหวั่นใจกับการต้องไปดูหนัง ใช่ครับเชิญหวั่นใจไปเลย
แต่ต้องรับรู้ว่าเฌอทุ่มเทกับมันขนาดนั้นจริง ๆ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่คืองานที่เฌอสามารถภาคภูมิใจได้ และเธอมีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลด้านการแสดงในปีล่ารางวัลที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน และสำหรับแฟนคลับที่ทำใจไม่ไหวขอให้คิดแบบที่ผู้คุมบอกมินครับ “มันก็แค่ร่างชั่วคราว มึงอย่าอินสิวะ”
ส่วนนักแสดงหลักตัวจริงอย่าง เจมส์ ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ ที่กำลังติดหน้าติดตาผู้ชมจากผลงานเด่น ๆ ที่ดังต่อเนื่องทั้ง ฉลาดเกมส์โกง และ ซีรีส์เลือดข้นคนจาง จนมาถึงเรื่องนี้ ก็เป็นการยกระดับการแสดงที่ท้าทายมากขึ้นกว่าทุกครั้งเพราะต้องเล่นกับอารมณ์หลากหลายซับซ้อน
ทั้งยังต้องแบกหนังทั้งเรื่องด้วยตัวคนเดียวด้วยในฐานะบทนำ ก็ทำได้อย่างละเอียดเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกับตัวละครผ่านการแสดงของเจมส์ได้ดี จนเมื่อผู้คุมให้สติมินว่า “มันก็แค่ร่างชั่วคราว มึงอย่าอินดิ” นั่นล่ะเราถึงดึงตัวออกมาทันว่า เออใช่มันคือชีวิตในหนัง อย่าอินสิ เพราะถ้าใครอินกับตัวมินอย่างที่หนังสร้างศักยภาพไว้ รับรองมีจิตตกโรคซึมเศร้ากินแน่นอน และอีกเช่นกันเจมส์น่าจะได้ลุ้นในรางวัลด้านการแสดงจากเรื่องนี้อีกเช่นกัน
นักแสดงสมทบอื่น ๆ ก็นับว่าได้ตัวกลั่นของวงการมาทั้งสิ้นทั้ง สู่ขวัญ บูลกุล มารับบทแม่ ซึ่งเราคิดว่าเธอทำได้อยู่แล้วแต่กลับเป็นว่าเธอทำได้เกินความคาดหมายมาก คิดว่าน่าจะมีลุ้นรางวัลอีกคนหนึ่งของหนังเลยล่ะ ส่วน วิโรจ ควันธรรม รับบทพ่อ และ เบสท์ ณัฐสิทธิ์ มารับบทพี่ชาย ก็ถือว่าแสดงได้สมน้ำสมเนื้อ น่าเสียดายที่หนังฉบับไทยนี้ไม่ได้ให้ที่ทางของทั้งคู่มากพอเท่ากับของแม่ จนดูว่าปมเบาบางและเดาได้มาแต่กลางเรื่องไม่ได้น่าจดจำเมื่อมีการขยี้เท่าใดนัก จะบอกว่าเป็นจุดพร่องแต่ไม่ถึงกับจุดอ่อนของการดัดแปลงครั้งนี้ก็ได้
มาที่ฝั่งผู้คุมซึ่งเป็นตัวละครแฟนตาซีของหนังก็ได้ทั้ง ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม มาเป็นตัวเปิด แล้วผลัดเปลี่ยนเป็นร่างอื่น ๆ ทั้ง ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ทั้ง พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ และอีกหลายคน ซึ่งจริง ๆ หนังยังถ่ายไว้มากกว่านี้ ทั้ง เผือก พงศธร ทั้ง เดวิด อัศวนนท์ แต่ด้วยเวลาของหนังกว่าสองชั่วโมงก็ยาวมากเกินที่จะยัดฉากผู้คุมลงไปเพิ่มอีก จนต้องตัดทิ้งอย่างน่าเสียดาย ในส่วนนักแสดงสมทบจึงนับว่าเป็นทีมนักแสดงที่ลงตัวมากที่สุดเรื่องหนึ่งทีเดียว
ความน่าดูที่สองในฐานะคนดูหนังไทยคงเป็นการกลับมาทำหนังยาวอีกครั้งของ โอ๋ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ที่ปล่อยเพื่อนรักอย่างโต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล ครั้งทำหนังเรื่องแรกด้วยกันใน ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2547) โด่งดังมีหนังพันล้านไปแล้วกับ พ่อมากพระโขนง (2556) ส่วนพี่โอ๋ก็ไปได้ดีกับหนังสั้นที่ได้รับคำชื่นชมสูงใน ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง (2558) แล้วก็ร้างราหายหน้าไปนานพอควร การกลับมาของพี่โอ๋รอบนี้จึงน่าจับตามองอย่างสำคัญ
โดยนิยายญี่ปุ่นเรื่องนี้คงโดนใจพี่โอ๋มากถึงขนาดยอมทนรอเวลาพัฒนาและติดต่อซื้อบทจากญี่ปุ่น ฟูมฟักมันอย่างอดทน และที่สำคัญการดัดแปลงมาในฉบับนี้รายละเอียดและการเล่านั้นยกระดับของเรื่องมาอีกขั้นเลย เราจะได้เห็นความตั้งใจของพี่โอ๋กับหนังเรื่องนี้มากทีเดียว ผมต้องยอมรับว่าหนังดัดแปลงมาได้เข้มข้นและน่าติดตามมาก ขนาดว่าเคยรู้เรื่องมาก่อนแล้วก็ยังดูสนุก
แต่สำหรับใครที่ติดใจกับวิธีการเล่าเรื่องแบบเนิบนิ่งของญี่ปุ่นที่ค่อย ๆ สั่นสะเทือนความรู้สึกเราช้า ๆ สำหรับเรื่องนี้มันรุกมากกว่าและยิงตรงแรง ๆ ในจังหวะที่ออกแบบมาดีกว่ามากครับ ก็แล้วแต่รสนิยมผู้ชมว่าจะชอบไหม เพราะด้วยความที่มันคือดราม่าหนัก ๆ ถึงจะเคลือบด้วยความเป็นแฟนตาซีธริลเลอร์ให้ย่อยง่ายขึ้นก็เถอะ มันอาจไม่ถูกรสคนทั่วไปมากนัก ยิ่งกับคอหนังชาวไทยนี่หนังดราม่าจริงจังนับเป็นของไม่ถูกโฉลกเท่าไรด้วย
ความน่าดูต่อมา คือการที่มันเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่นำวรรณกรรมญี่ปุ่นยุคใหม่อย่าง Colorful ของ เอโตะ โมริ หรือนิยายฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม หนัง HDทั้งยังเคยถูกนำไปสร้างเป็นหนังแอนิเมชั่นญี่ปุ่นในชื่อ Colorful (2010) มาก่อนด้วย นับเป็นก้าวเปลี่ยนสำคัญสำหรับหนังไทยเหมือนกันนะ เพราะก่อนหน้าแม้จะมี อุโมงก์ผาเมือง ก็เป็นการดัดแปลงจากหนังญี่ปุ่น ราโชมอน มากกว่าตัวนิยายโดยตรง แถมยังเป็นนิยายยุคเก่าด้วย
หนังมีการปรับรายละเอียดต่าง ๆ ไปหลายสิ่ง ตั้งแต่ตัวละครที่เปลี่ยนมาเป็นเด็กมัธยมตอนปลายซึ่งเล่นอะไรได้มากกว่าในฉบับนิยาย และสามารถเล่นประเด็นที่ดูรุนแรงแบบผู้ใหญ่ ๆ ได้เข้ากับเรื่องมากขึ้น ดูหนังผ่านเน็ตอีกทั้งรูปแบบของผู้คุมที่ในฉบับญี่ปุ่นจะมาในรูปลักษณ์ของเด็กชายอายุใกล้เคียงกับพระเอกและไม่ได้มีท่าทีคุกคามเท่าฉบับไทย
หนังยังใช้ความเป็นหนังสืบสวนสอบสวนแบบจริงจัง มากกว่าที่จะเป็นการค้นหาความหมายของชีวิตซึ่งเป็นแก่นแท้และการเล่าเรื่องในฉบับญี่ปุ่น ทั้งยังไม่ได้วางเงื่อนไขเรื่องการค้นหาความจริงและเวลาจำกัดให้กดดันตัวละครเท่าฉบับไทยด้วย ตรงนี้จึงเป็นข้อได้เปรียบของหนังเวอร์ชั่นไทย
ที่ดูสนุกกว่า อินกว่า รู้สึกกับตัวละครมากกว่า จนเกือบจะสร้างความเป็นออริจินัลของตัวเองได้เลย แต่ก็น่าเสียดายเพราะหนังยังต้องโดนกรอบด้วยการตีความของนิยายไว้ ทำให้ไม่สามารถเล่นกับตอนจบได้มากนัก ใครเคยชมฉบับญี่ปุ่นมาคือไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์เลยครับ
ส่วนตัวแอบคาดหวังตลอดการดูว่าหนังจะตีความใหม่อย่างไร โดยเฉพาะการเล่นคำว่าโฮมสเตย์ หรือมึงอย่าอินสิมันแค่ร่างชั่วคราว แต่สุดท้ายหนังก็ไม่สามารถดึงจุดนี้ขึ้นไปแทนที่ในช่วงไคลแม็กส์ของหนังได้ เพราะมันต้องยุติที่ว่าใครฆ่าซึ่งจริง ๆ เป็นเพียงทางผ่านของแก่นแท้เท่านั้น ยิ่งการที่ผู้กำกับเน้นมาทางนี้ยิ่งขยายด้วยปรัชญาแบบพุทธได้คมคายมากกว่าด้วย อันนี้ก็เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวครับ เพราะเป็นทางเลือกของผู้กำกับอยู่แล้วว่าอยากจะเล่นแค่ตรงนี้
ด้านซีจีของหนังนับว่าพอดีและสมจริงมาก ช่วยสร้างบรรยากาศแฟนตาซีได้โดดเด่น อันนี้ต้องชื่นชมไปถึงงานด้านภาพที่เล่นสีตัดและการสื่อความได้ดี แม้บางฉากจะดูหลุดไปเป็นสีการ์ตูนไปนิดแต่ก็เข้ากับการตีความฉากนั้น ๆ ด้วย
สรุป
Homestay เป็นภาพยนตร์ไทยที่บทเรื่องค่อนข้างแหวกแนว มีทั้งความรัก ดราม่า ครอบครัว ระทึกขวัญ และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ข้อคิดในหลายๆด้าน สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของคนที่ชอบคิดว่าชีวิตตัวเองแย่ ไม่มีความสุขกับตัวเอง รู้สึกไม่มีใครรัก ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แต่จริงๆแล้วในความโชคร้ายของชีวิตก็มีเรื่องราวดีๆซ่อนอยู่มากมาย ถ้าไม่มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป การชอบใครสักคนก็สามารถทำให้คนเรามีพลังลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้ การมีเพื่อนดีๆสักคนนั้นเป็นเรื่องโชคดีเรื่องหนึ่งของชีวิต และการเกิดมาใช้ชีวิตถือเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น