วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

Alpha - ผจญนรกแดนทมิฬ 20000 ปี

หนัง HD

รีวิว Alpha - ผจญนรกแดนทมิฬ 20000 ปี

ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้เป็นซับทั้งหมด เพราะว่าในเรื่องพูดเหมือนภาษาเผ่าอะไรสักอย่าง และหลายคนคงสงสัยว่าใช้สัตว์จริงในการถ่ายทำหรือเปล่า? สัตว์ใหญ๋หรือฉากอื่นๆ ก็มี CGI บ้าง จริงบ้าง แต่ที่จริงแท้แน่นอนคือหมาป่า Alpha ตัวเอกของเรื่องเนี่ยแหละ! ความดีงามโคตรๆ ของเรื่องนี้คือภาพ ด้วยความที่ดูใน IMAX 3D บอกได้เลยว่าทุกช็อต ทุกฉาก ภาพสวยมาก! มากถึงมากที่สุด สวยจนแบบถ้ามีแผ่นคุณสามารถกดพอสแล้วแคปมาทำเป็นภาพวอลเปเปอร์สวยๆ รูปนึงได้เลย และถ้านับทั้งเรื่อง คุณอาจจะได้หลายสิบภาพเลยทีเดียว รีวิว Alpha

เรื่องย่อ

นี่คือการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด ในยุโรป เมื่อ 20,000 ปีก่อน ในขณะที่เขาเริ่มต้นการล่าสัตว์เป็นครั้งแรกกับเผ่าของเขา เด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะได้สติกลับมาแล้วรู้สึกตัวว่าขาของเขาหักอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอด และใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนอันแสนทุรกันดาร เขาบังเอิญได้พบกับหมาป่าที่ถูกขับออกจากฝูง ทั้งคู่ได้เรียนรู้ที่จะกลายเป็นคู่หูกัน พร้อมฟันฝ่าอันตรายนับไม่ถ้วน และเดิมพันชีวิตเพื่อหาหนทางกลับไปยังบ้านของพวกเขา ก่อนที่ลมหนาวแห่งความตายจะมาถึง

สิ่งแรกที่จะนึกถึงเมื่อพูดถึงหนังเรื่อง ALPHA คงหนีไม่พ้นหนังที่มีกำหนดเลื่อนฉายอย่างกับเกมมอญซ่อนผ้า คือพร้อมจะเปลี่ยนวันฉายได้ตลอดเวลาตั้งแต่กำหนดเดิมช่วง กันยายน-ตุลาคมปีที่แล้ว (2560) แต่หนังก็ถูกเลื่อนโปรแกรมฉายออกไปเป็นเดือนมีนาคมเมื่อต้นปีนี้ (2561) และในเดือนธันวาคมปีที่แล้วโซนี่พิคเจอร์ก็ประกาศวันฉายใหม่เป็นเดือนกันยายนปีนี้ ก่อนจะเลื่อนฉายที่อเมริกาเร็วขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมาส่วนบ้านเราหนังก็เข้าฉายแล้ววันนี้

แต่นอกจากเรื่องเลื่อนฉายแบบมาราธอนแล้ว ข้อมูลที่เรารับรู้จาก ALPHAก่อนหน้านี้มีแค่ภาพโปรโมตที่เน้นซีจีสร้างโลก 20,000 ปีก่อนขึ้นมาพร้อมๆกับบรรดาสัตว์ดึกดำบรรพ์ต่างๆที่ไม่ต่างจากปัจจุบันนักแต่เน้นเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ ออกหากินเป็นฝูงดูยิ่งใหญ่ ดูแกรนด์สร้างความน่าสนใจตามประสาหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์พร้อมพลอตว่าด้วยการเอาตัวรอดในยุคดึกดำบรรพ์

ซึ่งก็ดันไปคล้ายพลอตเรื่องของหนังอย่าง 10000BC (2008) หนังผจญภัยฟอร์มยักษ์ของโรแลนด์ เอมเมอริชเมื่อ 10 ปีก่อนที่ชูจุดขายในการปลุกเสือเซเบอร์ทูธมาให้ผู้ชมยลโฉม ส่วนนักแสดงก็ยังไม่ใช่จุดขายนักทั้ง โคดี สมิธ แมคฟี จาก Let Me In หรือโยฮันเนส ฮาวเกอร์ โยฮันเนสสัน หนึ่งในนักแสดงซีรีส์ดัง Game of Throne

แถมพอปล่อยตัวอย่างหนังออกมาในช่วงหลังดันไปเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหมาป่า เลยทำให้ภาพหนังผจญภัยโลกหมื่นปีที่เคยปูมาก่อนหน้านี้เริ่มดูเฉไฉไปทางหนังหมาเพื่อนรักซะงั้น แต่เอาล่ะยังไงเราก็ต้องตัดคะแนนจากตัวหนังจริงๆซึ่งบอกได้เลยว่า….อาการหนักเอาการ

วิจาร์ณ

เคดา (โคดี สมิธ แมคฟี) เด็กหนุ่มแรกรุ่นแห่งเผ่าโซลูเทรียนที่ต้องพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายด้วยการออกล่าควายไบซันกับ เทา (โยฮันเนส ฮาวเกอร์ โยฮันเนสสัน) พ่อผู้เป็นหัวหน้าเผ่าและคาดหวังกับผลงานการล่าสัตว์ครั้งนี้ของลูกชายแต่เมื่อเกิดเหตุชลมุนจนควายตัวหนึ่งขวิด เคดา จนตกหน้าผาจนทุกคนในเผ่าสิ้นหวังเดินทางกลับบ้านพร้อมข่าวร้าย

แต่ไม่นาน เคดา ก็ฟื้นสติและได้ผูกมิตรกับหมาป่าจ่าฝูงที่เขาใช้คมมีดฟันมันจนบาดเจ็บในการปะทะเมื่อแรกพบจนเกิดมิตรภาพต่างสายพันธุ์ แต่เวลาไม่คอยท่าเคดาจำต้องพาเพื่อนซี้สี่ขาฝ่าสภาพอากาศอันหนาวเหน็บและอันตรายรอบด้านเพื่อกลับไปยังบ้านของเขาก่อนที่หิมะแรกจะตก พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่

เนื้อเรื่อง

เริ่มจากการปูพื้นตัวละครก่อนเลย อันนี้ต้องบอกว่าหนังมีปัญหาในการทำให้เราเข้าใจเข้าถึงวัฒนธรรมชนเผ่ามาก เปิดเรื่องมาด้วยการล่าควายไบซันที่ทำให้เคดาตกผาเป็นซีนอารัมภบทแล้ว เมื่อหนังตัดไปเล่าเหตุการณ์ที่มาที่ไปกลับมีแค่ฉากคัดเลือกคนไปล่าสัตว์จากการให้เด็กหนุ่ม ลับหิน ทำปลายหอกแล้วหนุ่มน้อยเคดาเราดันลับได้คมกริบ คุณพ่อเทาเลยเลือกเขาไปล่าควายประเพณีด้วยกัน

ซึ่งตรงนี้หนังไม่แม้แต่จะบอกสาเหตุว่าทำไมต้องคัดเลือกจากการลับหินให้คม เพราะท้ายที่สุดตอนออกล่ามีซีนที่เทาสั่งให้เคดาสังหารควายไบซันระหว่างทางแต่เคดาก็อ่อนแอเกินกว่าจะปาดคอมันจนได้ รวมถึงการยกเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่ได้ชวนให้เราผูกพันธ์แม้แต่น้อยทั้ง เทาในฐานะพ่อหรือบท่แม่ของนาทัสเซีย มัลธี

เพราะหนังให้เวลากับการปูความสัมพันธ์ตรงนี้น้อยเกินไป ต่างจากหนังที่นำเสนอเรื่องชนเผ่าอย่าง Apolalypto (2006) ยังปูความสัมพันธ์ของครอบครัวตัวเอกได้หนักแน่นทำให้เราอยากเอาใจช่วยมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนังเลือกประดิษฐ์ภาษาขึ้นเองแล้วบอกว่านี่คือภาษายุโรปโบราณก็ยิ่งเป็นภาระคนดูที่ต้องอ่านซับไตเติลจนตัวหนังยิ่งยากจะดึงคนดูให้มีอารมณ์ร่วมตามอีก เลยกลายเป็นว่าคนดูได้แต่งงว่านี่คือหนังของชนชาติไหนก็ไม่รู้ที่พูดจาไม่รู้เรื่อง เอะอะก็ยกเรื่องความกล้าหาญอย่างเดียวโดยการดำเนินเรื่องแทบไม่นำพาให้มีอารมณ์ร่วมตามแต่อย่างใด

นอกจากจุดขายไม่เด่นและเล่าเรื่องได้ไร้อารมณ์ร่วมแล้ว อีกจุดที่เป็นปัญหาคือการนำเสนอนี่แหละ เอาในเชิงเนื้อเรื่องที่หนังเองพยายามจับปลาสองมือคืออยากทั้งนำเสนอการค้นพบความกล้าหาญของเคดาและความรักความผูกพันธ์ระหว่างเคดาและอัลฟ่า ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนอกจากปัญหาในการปูความสัมพันธ์ของตัุวละครมนุษย์ตอนต้นแล้ว

การที่หนังใช้ซีจีอย่างสิ้นเปลืองก็มีผลต่อความเชื่อถือมาก ในกรณีแรกหนังสอบตกโดยสิ้นเชิงในการโยนประสบการณ์ความกลัวใส่เคดา เนื่องจากหนังมักเน้นภาพสวยๆซีจีเด่นๆแต่กลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงความกลัวของเคดาจริงๆทั้งที่ความกลัวถือเป็นจุดหนึ่งที่ตัวละครจะค้นพบความกล้าในตัวเองแต่ลงท้ายสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เคดาจะได้เจอกลับมีแค่กลัวอัลฟาจะกัด

และกลัวเสือดำจะโผล่มาขย้ำในถ้ำน้ำแข็งซึ่งหนังก็กำกับออกมาได้ไร้อารมณ์ร่วมเหลือเกินจนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือผลงานกำกับของ อัลเบิร์ต ฮิวจ์ ผู้กำกับ The Book Of Eli (2010) หนึ่งในหนังแอ็คชันทริลเลอร์ที่สนุกมาก แต่พอต้องมากำกับหนังเรต PG 13 เรื่องนี้

ตัวหนังกลับออกมาจืดชืดเหลือทนจริงๆ แถมในด้านความตื่นตาตื่นใจหนังก็สอบตกสิ้นเชิง เพราะในขณะที่ 10000BC เราได้ดูช้างแมมมอธ เสือเซเบอร์ทูธ ใน ALPHA เราได้ดูแค่หมาป่าที่ไซส์ยืดได้หดได้ เสือดำที่โผล่มาไม่กี่ช็อต ควายไบซัน ที่ดูเป็นอัลกอริทึ่มของคอมพิวเตอร์เท่านั้นเอง

อีกกรณีคือความผูกพันธ์ระหว่างคนกับหมาป่า ซึ่งตรงนี้เหมือนเป็นจุดขายในเทรลเลอร์ตัวสุดท้ายก่อนหนังฉาย ซึ่งโอเคว่าหนังก็ทำตรงนี้ได้น่ารักดีแต่ในขณะเดียวกันมันก็มีผลในการทำให้พลังของเรื่องในส่วนของการเอาตัวรอดที่ควรจะตื่นเต้นลดลงไปแบบกราฟดิ่งฮวบๆเหมือนกัน ที่สำคัญบทสรุปของหนังยังทำให้อดคิดวิตถารไปไม่ได้ว่า เคดา กับ อัลฟ่า  “เอาตัวรอด” กันท่าไหนจนอัลฟาท้องได้เนี่ย อดไม่ได้จริงๆฮ่าาาา

ความรู้สึก

ความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจที่สุดในตอนนี้คือ ภาพสวยโคตรรรรรร แต่ละฉากทำออกมาได้สวยมาก จนไม่รู้เราร้องในใจว่า อื้อหือออ อาฮะๆ โอ้ เยส เวรี่กู้ด ไปทั้งหมดกี่ครั้งกัน การออกแบบมุมกล้อง องค์ประกอบภาพมีดีเลิศเพอร์เฟคสุดๆ !!

ส่วนการดำเนินเรื่องในเรื่องนี้ ค่อนข้างผิดคาด.. หนังดำเนินเรื่องค่อยข้างเนิบนาบ และเอื่อยเฉื่อย ไม่ได้มีความรู้สึกลุ้นระทึกหรือเอาใจช่วยตัวเอกมากเท่าไหร่นัก ในโหมดที่ต้องชวนลุ้นนั้น เรามองว่ามุมกล้องและซาวด์ประกอบน่าจะช่วยขับอารมณ์ได้ดีกว่านี้ เหมือนงานภาพของหนังจะไปเด่นในเรื่องวิวเสียมากกว่าเยอะ

ซึ่งนั่นทำให้ภาพรวมของหนังมันออกแนวหนังสารคดี ที่มีเรื่องราวย้อนยุคไปในช่วง 20,000 ปีก่อนเสียมากกว่าที่จะเป็นหนังผจญภัยชวนน่าเอาใจช่วยให้เอาชีวิตรอด ใครที่เป็นคนดูหนังแล้วง่วงง่ายอาจตายภาพตัดเอาตอนกลางเรื่องนี่แหละ

สิ่งที่ชอบ

อยากจะบอกว่าแอบตกใจ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าหนังไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร แต่ใช้ "ภาษาโครมันยอง" ทั้งเรื่อง !! จุดนี้ทีมงานทำการบ้านมาดีมากๆ ในการสร้างภาษาโครมันยองขึ้นมาเพื่อความสมจริง และนั่นหมายความว่านักแสดงทุกคนต้องใช้สกิลในการจำบทพูดสูงมาก !!

ส่วนถัดมาคือ "คอสตูม" ที่แต่งองค์ทรงเครื่องกันแบบจัดเต็มชวนให้ได้กลิ่นเหม็นๆ จากชุดในยุคนั้นโชยมาเลยทีเดียว มันช่วยบิลด์อารมณ์ให้เราเข้าถึงยุคนั้นมากขึ้น หนังพาให้เราได้เห็นว่าเขาใช้ชีวิตกันยังไง ไม่มีอาวุธ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีรถเก๋งแอร์เย็นอย่างใครเขา~ ( อย่าออกทะเล !! )

มาในส่วนของมุมภาพกันบ้าง คิดว่าหลายคนที่ได้ดูแค่ตัวอย่างหนัง HDต้องชอบแน่ๆ กับภาพแนว "Cinemagraph " โหคุณ!! ภาพมันแบบหู้ววว สวยมว๊ากกก มุมสวยมว๊ากก ยิ่งshotแบบ ไกลๆเนี่ยนะ! อื้มหื้ม!! โคตรของโคตรสวย ไม่รู้จะพูดยังไงให้คุณรู้สึก ให้คิดว่า คุณเป็นสิ่งเล็กอยู่ในพื้นที่ๆหนึ่งบนโลกแล้วกล้องมันก็ค่อยๆออกไป จนคุณตัวเล็กกว่าเดิมแล้วเห็นสภาพแวดล้อมมากขึ้น เห๊ย!! ยกความดีความชอบในคนออกแบบภาพจริงๆ ตากล้องนายนี่โคตรสุดยอด สีในหนังก็ไม่ใช่ขี้ๆนะค้าบบ หลายภาพหลายมุมทำได้ตาตรึงใจมากจริงๆ อยากถ่ายภาพได้แบบนั้นเลย

รีวิว Alpha

ในเรื่องของความทรหด ผมว่ายังสู้ The Revenant ที่ อาเฮียลีโอนาโด ดิคาปริโอ เล่นยังไม่ได้ รึเปล่าก็ไม่รู้นะ ไม่รู้ว่าหนังเรื่อง ALPHA มันต้องการทำให้ออกมาดูต่อสู้ทรหดอดทนรึเปล่า แต่ผมว่ายังไม่สุดเท่าไหร่ เหมือนเนื้อเรื่องมันยังน้อยไปไม่พีคเท่าที่ควร ตั้งแต่หนังเริ่มมันมาดีและ แล้วมันก็ค่อยๆระนาบเป็นเส้นตรง เออออ ดูแต่ภาพละกัน แฮ่! ถ้าคุณคิดว่าหมาจะตายไหม ก็เตรียมใจไว้สักนิดนึงนะ

และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดดูหนังผ่านเน็ตไม่พูดถึงไม่ได้คือ.. "หมา" น้องแสดงได้เหมือนหมาจริงๆ มากครับ #ก็นี่มันหมาาาาา!! พูดถึงหมาป่าที่แสนดุร้ายนั่นแหละ ที่พอเข้าโหมดมุ้งมิ้งแล้วมันชวนให้ร้องหงิงๆ ในลำคอตามซะเหลือเกินครับ แต่ก็ไม่ได้เซอร์วิสเอาใจคนรักหมามากเกินไปจนล้นไปทับเนื้อหาส่วนอื่นๆ ถือว่าจัดเวลาออนแอร์ได้ดีครับ

ภาพรวม

เด่นๆก็คือ งานภาพ บรรยากาศ เรื่องราวของชนเผ่า และความสัมพันธ์ของคนและหมาป่าล้วนแล้วออกมาดีในสายตาผม เพียงแต่หนังจบง่ายไปหน่อยแค่นั้น และสถานการณ์ต่างๆก็กดดันแต่หนังยังไม่ถึงกับลุ้นขนาดนั้น สำหรับผมแล้วเป็นหนังที่ดีเรื่องนึงผมว่าแค่คุณไปดูวิชวลและเรื่องความสัมพันธ์ของคนและหมาป่าแค่นี้ก็อุ่นใจแล้วครับ

สรุป

สรุปเลยแล้วกันว่า ALPHA คือโปรแกรมที่ต่อให้คาดหวังหรือไม่ได้กับมัน มันก็พร้อมจะทำให้เราผิดหวังกับแทบทุกองค์ประกอบของหนังจริงๆ ไม่ว่าจะเอาตื่นเต้น ความตื่นตาตื่นใจ หรือกระทั่งความรักความผูกพันธ์ระหว่างคนกับหมาที่ความเป็นซีจีกลับมาทำร้ายหนังอย่างร้ายกาจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น